วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

คัมภีร์โรคนิทาน

พระคัมภีร์โรคนิทาน ( อ.ประสิทธิ คงทรัพย์ ) ในพระคัมภี์ พระบรมอรรคธรรม = ความสิ้นอายุ = ธาตุจะขาด หย่อน พิการ หรือ ขาดหายไป แจ้งอยู่ใน ( คัมภีร์มรณะญาณสูตร ) ความมรณะ แบ่งเป็น 2 อย่าง 1. มรณะ ด้วยโบราณโรค 2. มรณะ ด้วยปัจจุบันโรค ความหมาย 1. มรณะด้วย โบราณโรค คือ การตาย โดยปกติ ตาย โดยลำดับขั้น ( ขันธิ์ชวนะ ) ธาตุทั้ง 4 ล่วงไป ตามลำดับ เรียกว่า ( กำหนดสิ้นอายุปริโยสาน ) ⁃ ปถวีธาตุ ขาดไป 19 หทยัง ยังอยู่ ⁃ อาโปธตุ ขาดไป 11 น้ำลาย ยังอยู่ ⁃ วาโยธาตุ ขาดไป 5 ลมหายใจเข้าออก ยังอยู่ ⁃ เตโชธาตุ ขาดไป 3 ไฟอุ่นกาย ยังอยู่ ถ้า ธาตุทั้งหลย สูญสิ้นไป เป็นาการ ตัดทีเดียว รักษา ไม่ได้ หากธาตุ ทั้ง 4 หย่อน แต่ ละสิ่ง 2 สิ่ง ก็ยังรักษา อยู่ได้ ( ถ้าคนเราจะตาย ธาตุที่ จะดับ ไปก่อน ในสิ่งที่ เหลือ ทั้ง 4 อย่าง ไฟ อุ่นกาย จะ ดับเป็น ตัวแรก จะเห็น ได้ว่า จะตัวเย็นชืด แสดงว่า ไฟอุ่นกาย เริ่มดับ ตัวต่อไป ที่จะ ดับไป คือ น้ำลาย คนไข้ จะ คอแห้ง มีเสมหะ จุก คอ อันนี้เป็น ลักษณะ คนใกล้ตาย ธาตุที่ 3 ที่จะดับไป คือ อัสสาสะ ปัสสาสะ คนหายใจ คนใกล้ตาย จะสั้นเข้า จนสุดท้าย ไม่เข้า ไม่ออก นั่นเอง ตัวสุดท้าย คือ หัวใจ ถ้า ดับไป ก็สิ้น มรณะ อันนี้ คือ การตาย ตามแพทย์แผนไทยเรา เรียกว่า มรณะ โดย โบราณโรค ) 2. มรณะด้วยปัจจุบันโรค คือ โอปักกะมิกาพาธ คือ การ ถูกทุบ ถอง โบยตี บอบช้ำ ต้องศาลอาญา ให้ประหารชีวิต ( สังเกตุ ว่า จะต้องเกิดเร็ว ) ( ธาตุ ทั้ง 4 พิการ ตามฤดู ) 1. เตโชธาตุพิการ สันตัปปัคคีพิการ ( เดือน 5 6 7 ) มีอาาร ให้เย็นในอก มักจุกเสด ขัดอก อาหารพลันแหลก มักอยากบ่อย จึงทำให้เกิด ลม 6 จำพวก คือ ⁃ ลมอุตุรันตะ คือ พัดแต่สะดือ ถึง ลำคอ ⁃ ลมปัตตะรันตะ คือ พัดขัดแต่อก ถึงลำคอ ( ทำให้รู้สึก หายใจไม่สะดวก แน่นอยู่ใน ลำคอ ) ⁃ ลมอัสวาตะ คือ ให้ขัดจมูก ( หายใจ ไม่สะดวก ) ⁃ ลมปรามาศ คือให้หายใจขัดอก ( หายใจ แล้ว ขัด อก ) ⁃ ลมอนุวาตะ คือ ให้หายใจขาดไป ( บางครั้ง หายใจ แล้ว มัน หยุด หายใจ ไปเป็น ช่วงๆ ) ⁃ ลมมหาสดมภ์ คือ ลมจับนิ่งไป ( ทำให้ สลบ ไปเลย ) ( พิกัดที่ มัก จะพิการ ของ เตโชธาตุ คือ สันตัปปัคคี หรือ อุณหภูมิ ของร่างกาย ที่ ปกติ อยู่ที่ 37 องศา ถ้ามันจะมี การเปลี่ยนแปลงไป พิการผิดปกติ มักอยู่ใน เดือน 5 6 7 ที่ สันตัปปัคคี จะ พิการ หรือ ผิดปกติ ได้ ) ( อาการ ที่เกิด อาหาร พลันแหลก คือ กินอะไร ไป แป๊บเดียว ก็ย่อย จนหมดแล้ว ไฟธาตุ สูง เมื่ออาหาร พลันแหลก ก็อยาก อาหารบ่อย นั้นคือ ขบวนการ เผาผลาญอาหาร เร็วมาก ) สิ่งที่เกิด เมื่อ สันตัปปัคคี พิการ หรือ ธาตุไฟ พิการ คือ ทำให้ เกิดลม 6 จำพวก ซึ่ง โบราณ เรียกว่า ลม แต่ ในปัจจุบัน มันก็คือ คือ อาการของโรค 6 อาการ แต่ ลม ทั้ง 6 ต้องเกิด จาก ไฟธาตุ สันตัปปัคคี นี้พิการ เสียก่อน 2. วาโยธาตุพิการ ( เดือน 8 9 10 ) มีอาการให้ผอมเหลือง ครั่นตัว เมื่อยทุกข้อ ทุกลำ ให้แดกขึ้น แดกลง ลั่นโครก มักให้หนาวเรอ ให้วิงเวียน หน้าตา หูหนัก ร้อนในอก รันทดรันทวยกาย หายใจสั่น เหม็นปาก หวานปาก ตัวเอง โลหิต ออกทางปาก จมูก กินอาหาร ไม่รู้รส ( เป็น ฤดูที่ 2 ของ ฤดู 4 ) ( อาการ แดกขึ้น แดกลง คือ เดี๋ยวแน่น ไปข้างบน เดี๋ยวแน่น ไปข้างล่าง เปลี่นไปเปลี่ยนมา ) ( ลั่นโครก คือ ท้องร้อง ) ( วิงเวียนหน้าตา คือ ลมกอง ละเอียด ) ( กลุ่มอาการ ปวดเมื่อย ครั่นตัว หรือ ลมครั่นโครก พวกนี้เป็น อาการ ของ ลมกองหยาบ แต่ วิงเวียนหน้าตา หู หนัก ใจสั่น เป็น ลมกองละเอียด เราก็จะเห็นได้ว่า โดยรวม เป็น อาการ ของ ลม ) 3. อาโปธาตุพิกร ( เดือน 11 12 1 ) กินผัก อาหารทั้งปวง ผิดสำแดง ⁃ โลหิต พิการ ( ให้คลั่ง เพ้อพก ให้ร้อน ) ถ้ามันร้อนจัดๆ ก็ ทำให้เป็นบ้าได้ คล้ายๆ กับคน เป็นไข้ ⁃ มันข้น พิการ (มักให้ตัว ชา สากไป ) ⁃ มันเหลว พิการ ( มักให้ บวมมือ บวมเท้า เป็น น้ำเหลืองตก มักให้ ผอมเหลือง ) ⁃ ไขข้อ พิการ ( มักเมื่อย ทุกขน้อ ทุกกระดูก ) ⁃ ดี พิการ ( มักขึ้งโกรธ มักสะดุ้งใจ ) แบ่งเป็น พัทธะปิตตะ อพัทธะปิตตะ ( คัมภีร์ โรคนิทาน นั้น มีความ เก่าแก่ มาก เก่ากว่า เวชศึกษา ซึ่ง สังคยนา ใน สมัยรัชกาลที่ 5 ต่อโบราณ จะพูด ไว้แค่ สั้น จึงทำให้ เรามาเทียบ กับ แผนปัจจุบัน ได้ลำบาก มาก เราจึงทำได้แค่จำไป แต่ เราก็ ไม่สามารถ ที่จะ ฟันธง ลงไปได้ ) ⁃ เสมหะ พิการ ( กินอาหารไม่รู้รส ) ⁃ น้ำตา พิการ ( มักให้ปวดศรีษะ เจ็บตา ) ⁃ น้ำลาย พิการ ( มักให้เป็น ไข้ มักให้ คอแห้ง ฟันแห้ง ) ⁃ มูตร พิการ ( มักให้ ปัสสาวะ แดง ขัดปัสสาวะ ปัสสาวะ เป็น โลหิต ปวดเจ็บ เนื่องๆ ⁃ เหงื่อ พิการ ( มักให้เซื่องซึม ) ⁃ น้ำมูก พิการ ( มักให้ ปวดศรีษะ ) ⁃ น้ำหนอง พิการ ( มักให้หืด ไอ ) 4. ปถวีธาตุพิการ ( เดือน 2 3 4 ) เป็นด้วย นอนผิดเวลา ⁃ ผมพิการ ให้คันศรีษะ มักเป็นรังแค เจ็บหนังศรีษะ เนืองๆ ⁃ ขนพิการ มักให้เจ็บทั่วสรรพางกาย ทุกขุมมขน ขนลุกพองทั้งตัว ⁃ เล็บพิการ เจ็บต้นเล็บ ต้นเล็บเขียว ต้นเล็บดช้ำโลหิต ให้เจ็บๆ เสียวๆ นิ้วมือ นิ้วเท้า ⁃ ฟันพิการ เจ็บไรฟัน เป็น ฝีรำมะนาด โลหิต ไหล ออกทาง ไรฟัน ฟันโยก คลอน ฟันถอนออก ⁃ หนังพิการ ร้อนผิวหนัง ทั่วกาย เป็นผื่น เหมือนผด แสบร้อน อยู่เนือง ⁃ เนื้อพิการ มักให้นอนสะดุ้ง หลับไม่สนิท มักให้ ฟกบวม บาที เป็น วงผุดขึ้น เป็น หัวดำแดง หัวเขียว ทั้งตัว บางที เป็น ดุจลมพิษ สมมุติว่าประดง เหือด หัด ต่างๆ ( จะคล้ายๆ กับ โลหิต ทำใ้ห้ ลักษณะ อาการ ออกมาคล้ายๆกัน เพราะ โลหิต ก็ แทรกอยู่ ในเนื้อ ของ โลหิต ก็จะ เป็น อาการคล้ายๆกัน แต่ถ้า เป็นโลหิต จะเป็น เม็ด เป็น อีดำ อีกแดง ได้เหมือนกัน แต่ ถ้าเป็นเนื้อ จะมี ฟกบวม ด้วย ถ้าเป็น เฉพาะโลหิต จะไม่ ฟกบวม ขึ้นมาด้วย ⁃ เอ็นพิการ มักให้ สะบัดร้อน สะบัดหนาว ให้ปวด ศรีษะ ท่านเรียกว่า ลมอัมฤกษ์ กำเริบ ( ในเส้นเอ็น ของร่างกาย มี 2700 เส้น ) ⁃ กระดูกพิการ เมื่อยขบ ทุกข้อทุกกระดูก ( ปวดในแท่งกระดูก ) ⁃ ไขกระดูกพิการ ทำให้ ปวดศรีษะ อยู่เนืองๆ ⁃ ม้ามพิการ มักให้ม้ามหย่อน ⁃ หทัยพิการ ทำให้คลุ้มคลั่ง ดุจเป็น บ้า ถ้ามิฉะนั้น ให้หิวโหย หาแรงมิได้ ให้ทุรนทุรายยิ่งนัก ( หทัยยัง กับ ปิตตัง จะ มีจุดต่างกันตรงที่ หทยัง จะมี คำว่า หิวโหยหาแรงไม่ได้ ) ⁃ ตับพิการ ตับโต ตับทรุด ฝีในตับ ตับพิการ ⁃ พังผืดพิการ ให้เจ็บให้อาเจียน จุกเสียด กลับเข้าเป็น แรงเพื่อลม ⁃ ไตพิการ มักให้ ปวดท้อง แดกขึ้น แดกลง ปวดขบ อยู่เนืองๆ ( ต่างจาก ไตพิการ ในเวชศึกษา ที่ว่า มัก ท้องพอง อ่อนเพลีย ให้ขัดอก ท้องป่อง อ่อนเพลีย ) ⁃ ปอดพิการ มักให้ปวด เป็นพิษ กระหายนำ้ อยู่เนืองๆ ⁃ ไส้ใหญ่พิการ มักให้ สะอึก ให้หาว เรอ ⁃ ไส้น้อยพิการ มักให้พะอืด พะอม ท้องขึ้น ท้องพอง มักเป็นท้องมาน กระษัย บางที ลงท้อง ตกมูกเลือด ⁃ อาหารใหม่พิการ มักให้ลงท้อง ลงแดง มักให้อาเจียน มักให้เป็น ป่วง 7 จำพวก ( ป่วงคือ อาการกินอาหาร ผิดปกติ ) ⁃ อาหารเก่าพิการ มักกินอาหาร ไม่รู้รส เป็นต้นเหตุ ที่จะทำให้เกิด โรคต่างๆ เพราะ อาหาร แปลกสำแดง ⁃ มันสมองพิกร ให้ปวดศรีษะ ให้ตาแดง ให้คลั่ง เรียก สันนิบาต ต่อกัน กับลม ( เวชศึกษา ปกติ มันสมองพิการ จะเริ่มจำ ไม่ได้ เริ่ม ชรา ) ( คำว่า สันนิบาต ต่อกัน กับลม คือ อาการหนักมาก มี ลมมาแทรก มากระทำ สันนิบาต ก็อาการ หนัก พอแล้ว ยังมี ลมมาแทรก อีก ) 1. ( ลักษณะ เตโชธาตุแตก ) อาการจะ หนักกว่า ธาตุ 4 พิการ 1. ปริณามัคคีแตก ให้ขัดในอก ในใจ ให้บวมมือ บวมเท้า ให้ไอ เป็น มองคร่อ 2. ปริทัยหัคคีแตก มือเท้าเย็น ชีพจร ไม่เดิน บางที ตัวเย็นดุจน้ำ แต่ ภายในร้อน ให้รดน้ำ อยู่ มิได้ขาด บางทีให้ตัวเย็น และ เสโท ตกดุจเมล็ดข้าวโพด ( ปริทัยหัคคี เป็น ไฟ ที่ทำให้ ร้อน ระส่ำระสาย ต้อง อาบน้ำ และ พัด วี ถ้ามันแตก มือเท้า จะ เย็น บางที ตัวเย็น ดุจน้ำ ภายใน ร้อน แต่ นอกเย็น ให้รดน้ำ อยุ่ มิได้ขาด เค้าจะรู้สึกวา ตัวเค้าร้อน อยู่ แต่บางที ก็ เปลี่ยน เป็น ตัวเย็น เหงื่อ ตก มากๆ ก็ยิ่งตัวเย็น เหงื่อ เป็น เม็ด ข้าวโพด ) 3. ชิรนัคคีแตก คือ ความชรา นำพยามัจจุราช มาเล้าโลม สัตว์ทั้งปวง จะให้ชีวิต ออกจากร่างกายนั้น ทำให้ คนไข้ มี กายวิปริต ต่างๆ คือ ให้รู้สึก หน้าผากตึง ตาไม่รู้จักหน้าคน แล้ว กลับ รู้จักอีก การสัมผัส สิ่งใด ก็ไม่รู้สึก แล้ว กลับรู้สึก ( ไฟแห่งความ ชรา เดี๋ยวรู้ เดี๋ว ไม่รู้ เดี๋ยวจำได้ จำไม่ได้ ) 4. สันตัปปัคคีแตก แก้ไม่ได้ตายแล ( แก้ไม่ได้ ตัวอื่น ยังมียาแก้ ) 2. ( ลักษณะ วาโยธาตุแตก ) 1. ลมอุทธังคมาวาตา แตก มักให้ดิ้นรน มือเท้า ขวักไขว่ พริกตัว ไปมา ทุรนทุราย ให้เรอ บ่อยๆ ( ลมพัดขัด ทำให้ มือ ขวักไขว่ ) 2. ลมอโธคมาวาตา แตก ให้ยกมือ ยกเท้า ไม่ได้ เมื่อยขบ ทุกข้อ ทุกกระดูก ให้เจ็บปวด ยิ่งนัก ( ลมพัดลง ก็ กด มือเท้า ให้ยกไม่ขึ้น ) 3. ลมกุจฉิสยาวาตา แตก ให้ท้องขึ้น ท้องลั่น ให้เจ็บอก ให้สวิงสวาย ให้แดกขึ้น แดกลง ( เป็น ลมในท้อง เดี๋ยวดัน ขึ้น บน เดี๋ยว ลงมา ) 4. ลมอังคมังคนุสารีวาตา แตก ให้หูตึง เจรจา ไม่ได้ยิน แล้ว เป้น ดุจหิ่งห้อย ออกจากตา ให้เมื่อยต้้นขา ทั้ง 2 ข้าง ดุจกระดูก แตก ให้ปวด ในกระดูกสันหลัง ให้สะบัดร้อน สะบัดหนาว อาจียน ลม เปล่า กินอาหาร ไม่ได้ ( แสบวาบ ออกจาก ตา เหมือนมีหิ่งห้อย ออกจากตา ) 3. ลมโกฎฐาสยาวาตา แต ให้เหม็นคาวคอ ให้อาเจียน ให้จุกเสียด ให้แดกในอก ( จุดเด่น คือ เหม็นข้าว ) 4. ลมอัสสาสะปัสสาสะ แตก ถ้าสิ้นลมหาายใจ แล้ว ตายเมื่อนั้น ( ไม่มีทางแก้ ) 3. ( ลักษณะ ธาตุน้ำแตก ) 1. ดีแตก ทำให้คนไข้ คลั่งไคล้ ไหลหลง ละเมอเพ้อพก นอนสะดุ้ง หวาดหวั่น บางที ทำให้ ดุจกินยารุ ให้ลง เขียว ลงแดง ลงเหลือง ออกมา ทำให้ หาสติมิได้ ( ถ่ายบ่อย เหมือน ได้ยาถ่ายมา ถ่ายก็ ลงแดง ลงเหลือง ลงดำ สลบ ไม่รู้เรื่อง จะเห็น ได้ว่า ถ่ายมากๆ ก็เสียชีวิต ได้ ) 2. เสมหะแตก ให้จับสะบัดร้อน สะบัดหนาว เป็นเวลา บางที ให้ลงท้อง เป็น เสมหะ เป็น โลหิตเน่า ให้ปวดบวม ( มีผล ทำให้ ถ่าย เป็น เสมหะ ปวด ด้วย ) 3. หนองแตก ทำให้ไหล ออกมา เนืองๆ ให้กาย ซูบผอม กินอาหาร ไม่รู้รส มักเป็น ฝีภายใน 7 ประการ ( เกิดฝี ภายในร่างกาย ก็คือ บุพโพ นั่นเอง ) 4. โลหิตพิการ หรือแตก แพทย์ สมมุติว่า ไข้กำเดา เพราะ โลหิตกำเริบ ถ้าแก ก็เป็นพิษ ต่างๆ ผุดขึ้นมาภายนอก แพทย์สมมุติว่า เป็น( รากสาด ) ข้าวไหม้ใหญ่ ข้าวไหม้น้อย เปลวไฟฟ้า ประกายเพลิง ลำลาบเพลิง ที่เรียกชื่อ ต่างๆ เพราะ โลหิต กระจาย แตกซ่าน ออกผิวเนื้อ ส่วนข้างใน ก็กระทำ พิษ ต่างๆ บางที ให้ อาเจียน เป็น โลหิต บางแล่น เข้าจับหัวใจ ให้คลั่งเพ้อ หาสติมิได้ บางก็ ว่า สันนิบาตโลหิต เป็น เพื่อ โลหิตสมุฎฐา บางให้ชักเท้า หงิกก มือกำ บางที ให้หนาว ให้ร้อน บางที ให้ขัด ปัสสาวะ ให้น้ำปัสสาวะ เป็น สีดำ แดง ขาว เหลือง เป็น ไปต่างๆ (เป็น ไข้ กำเดา ที่ เกิดจาก ความร้อน เพราะ โลหิต นั้น กำเริบ จะทำให้เกิดไข้ แตก เป็นพิษ ต่างๆ มีอาการ ผุด ออกมาจาก ภายนอก ใน คัมภีร์ ตักศิลา โลหิต กับ ผิวเนื้อ เวลาพิการ อาการจะคล้ายๆกัน แต่ถ้า เป็น ผิวเนื้อ จะมีอาการ ฟกบวม ด้วย ส่วนโลหิต จะเป็น ไข้ ตัวร้อน มีเม็ด หรือ ผื่นขึ้น อาการ หนักมาก ความร้อนสูงๆ จะ คลั่งเพ้อ ไม่มีสติ เวลามีไข้สูง จะรู้สึกหัวใจ ก็แย่ ) ( สันนิบาตโลหิต คือ อาการ รุนแรง มาก รวมกัน วาติ ปิตตะ เสมหะ ซึ่งมี สาหตุ มาจาก โลหิต เป็นหลัก เลยเรียก สันบาติ โลหิต ) ( บางที ให้ชัก เดี๋ยว หนาว เดี๋ยวร้อน ปัสสาวะ เป็น สี ดำ แดง ขาว เหลือง จะเห็นได้ว่า เมื่อ โลหิต พิการ จะส่งผล ต่อระบบ ต่างๆ มากมาย ถ้าดูตามหลักวิทยาศาสตร์ เลือด จะไปหล่อเลี้ยงร่างกาย พอ เลือด พิการ ก็ส่งผล ต่อระบบ อื่นๆ ของร่างกายด้วย ) ( จุดเด่น คือ มีไข้ ตัวร้อน คลั่งเพ้อ สลบ ชักได้ ) ( เวลาคนไข้ มาด้วย อาการไข้ เราก็ อาจสรุปได้ว่า คนไข้ คนนี้มี สาเหตุ มาจาก โลหิต พิการ ) * ( ธาตุ ถ้าแตก 2 - 5 อย่าง จะแก้ไม่ได้ ภายใน 2 - 3 วัน แต่ถ้า 1 - 2 อย่าง ให้แก้ ดูก่อน ) โลหิต แตกซ่านออกมาถึงผิวเนื้อ ให้ประกอบยา ที่แก้ไข้ เหนือ > แก้โลหิต ทำภายในให้โลหิตมาก > ให้ประกอบ ยาที่แก้ ลักปิด ( ยาแก้ ลักปิด แก้ โลหิต ที่ ออกมาก ไม่ให้เลือด มันออก ) 5. เหงื่อ ถ้าแตก ให้ตกหนัก ตัวเย็น ขาวซีด ให้สวิงสวาย หากำลังมิได้ ( เวลาแตก จะ แตกเป็น เม็ด ใหญ่ๆ สวิงสวาย หาแรงไม่ได้ เหมือน คน กำลัง จะสลบ ตัวเย็นจัด ชีพจรอ่อน สวิงสวาย ไม่มี เรี่ยวไม่มีแรง โบราณ เรียกว่า เหงื่อ แต่ปัจจุบัน เรียกว่า ช็อค ) 6. น้ำตา ถ้าแตก หรือ พิการ ให้ตามัว นำตาตกหนัก ตาแห้ง ตานั้นเป็น ดุจ เยื่อผลลำไย ( มันแห้ง ไม่มีความ ชุ่มชื้น ก็จะ ออกขาวๆ ขาดน้ำ ) 7. มันเหลว ถ้าแตก กระจายออก ทั่วกาย ทำให้ตาาเหลือง ตัวเหลือง เว้นแต่ อุจจาระ ปัสสาวะ ไม่เหลือง บาที ให้ลงท้อง อาเจียน ดุจ เป็น ป่วงลม เพราะ โทษ น้ำเหลือง ( ตาเหลือง ตัวเหลือง แต่ อุจจาระ ปัสสาวะ ไม่เหลือง แตกต่างจาก พวก อพัทธะปิตตะ พิการ ที่จะ อุจจาระ เหลืองด้วย ) 8. น้ำลาย แตก ให้ปากเปื่อย น้ำลายเหนียว บางที เป็น เม็ดยอด ขึ้น ใน ลิ้นในคอ 9. น้ำมูก พิการ หรือ แตก ให้ปวด ในสมอง ให้นำมูกตก ตามัว ปวดศรีษะ 10. มันข้น พิการ หรือ แตก ดุจโลหิตเสีย ก็เหมือนกัน ซึมซาบ ออกมา ทางผิวหนัง ดุจผด ผุดออกมา เป็น ดวง บางทีแตก เป็น น้ำเหลือง ( จะมี อาการ ผุดขึ้น เป็น ผด ออกมาเป็น ดวง บางที แตก เป็นน้ำเหลือง คล้ายกับ ใน เวชศึกษา เป็น แผ่น เป็นดวง ผุด เป็น น้ำเหลือง ) 11. ไขข้อ ( ลสิกา ) พิการ หรือ แตก ) จะทำให้ เมื่อยในกระดูก ทุกแห่ง ดุจคคราก ออกจากกัน ให้ขัด ให้ตึง ทุกข้อ ( ปวดในข้อ เหมือน กับ ข้อ จะหลุด ) 12. มูตร พิการ หรือ แตก ทำ ปัสสาวะ วิปลาส แดง เหลือง และ เป็น นิ่ว ก็ดี บางที ดุจน้ำ ขาวเช็ด ให้ขัดเบา ให้เจ็บหัวเหน่า เป็นนิ่ว เป็น มุตกิต เป็น สัณฆาต กาฬขึ้น ในมูตร ให้มูตรพิการ แปรไปต่างๆ ( ทำให้ ปัสสาวะพิการ สีผิดปกติ เป็น นิ่ว เป็น มุตกิต สัณฑฆาต บางที ปัสสาวะ ดุจ น้ำข้าวเช็ด ออกขาวๆ ) ( กาฬ ขึ้นในมูตร คือ มีเม็ด ขึ้น ในระบบ ทางเดิน ปัสสาวะ ) ธาตุดินพิการ 1. ผมพิการ เจ็บในสมอง , ผมร่วง 2. ขนพิการ เจ็บทุกขุมขน ทั่วกาย 3. เล็บพิการ ต้นเล็บช้ำ เขียว ดำบางที ให้ฟกบวม เป็นหัวเดือน หัวดาว บางที ให้เจ็บ ขบ ช้ำ เป็นหนอง เจ็บปวด ยิ่งนัก 4. ฟันพิการ หักถอนแล้ว ก็ดี ถ้าเจ็บในไรฟัน ในรากฟัน ในเหงือก ก็ให้แก้ในทาง รำมะนาด 5. หนังพิการ ให้หนังสากชา ถ้ามด หรือ แมลงไต่ หรือ จับ ก็ไม่รู้สึก กายให้แสบร้อน ยิ่งนัก เรียกว่า ( กัมมิโทษ ) คือ โทษที่เกิดแต่ กรรม ( แผนปัจจุบัน อาจจะมองว่า ปลายประสาตเสื่อม ) 6. เนื้อพิการ เนื้อ 500 ชิ้น ถ้าพิการ ให้เสียวไปทั่วตัว มักให้ พาที่นั่น บวม ที่นั่น เป็นพิษ บางที ให้ร้อนดุจไฟบางที ให้ฟกขึ้น ดุจประกายดาษ ประกายเพลิง ( มีเนื้อ 500 ชิ้น แต่ใน แผนปัจจุบัน มี 600 ชิ้น คล้าย กับ ไข้ ที่เกิด กับโลหิต อย่างที่ บอกไปแล้วว่า เนื้อ พิการ ก็จะมี ฟกบวม ส่วนอาการอื่น ความร้อนดุจไฟ ก็คล้ายๆ กับ โลหิตพิการ จริงๆ มีที่มา ใกล้เคียงกัน ) 7. เอ็นพิการ เส้นประธาน 10 มีบริวาร 2700 เส้น ก็หวาดไหว ไปทั่งสิ้น ที่กล้า ก็ กล้า ที่แข็ง ก็แข็ง ที่ตั้งดาน ก็ตั้งดาน ที่ขอด ก็ขอด เข้า เป็นก้อน เป็นเถาไป เป็นเหตุ แต่จะให้โทษหนัก แต่ เส้นอัน ชื่อว่า ( สุมนา ) กับ ( เส้น อัมพฤกษ์ ) ทำเหตุ จะทำให้ ระส่ำระสาย ให้ร้อน ให้เย็น ให้เมื่อย ให้เสียว ไปทุกเส้นเอ็น ทั่วทั้งตัว ตั้งแต่ที่สุดบาทา ขึ้นไปถึง ศรีษะ ทำให้เจ็บเป็นเวลา แต่เส้นอัมพฤกษ์ สิ่งเดียวนั้น ให้โทษ ถึง 11 ประการ ถ้า พร้อมกัน ทั้ง 2700 เส้น แล้วก็ตาย ถ้าเป็น 2 - 3 เส้น ก็ยังพอแก้ได้ ( ในเส้นประธาน 10 ก็พูดถึง ว่ามี บริวาณ 2700 เส้น คลุมอยู่ ทั่วร่างกาย ในคัมภีร์โรค นิทาน ได้กล่าวถึง นหารู 2700 เส้น แต่ ตำรา นวดบางตำรา บอกว่า 72000 เส้น มีความ แตกต่างกัน อย่างมาก จากการบันทึก หรือ อะไร เหมือน ตัวเลข สลับ กันอยู่ ) ( เส้นต่างๆ ก็ หวาดหวั่น คือ ผิดปกติ ไอที่ จะ แข็ง ตึง เป็น ดาน ขอดตึง เป็น ลำ เป็น ก้อน เป็นเถา เถาก็คือ เป็น ลำนั่นเอง แต่เส้นที่ ชื่อ สุมนา กับ อัมพฤษ์ ) ( เส้นอัมพฤกษ์ ทำให้เกิด โทษ มากมาย ถึง 11 ประการ ถ้าเป็น พร้อมกัน 2700 เส้น ตยแนนอน แต่ถ้า เป็นแค่ 2 - 3 เส้น อาจจะใช้ การนวด และ ยาประกอบ ) ( เส้นอัมพฤกษ์ บ่งบอก ว่า กำลัง จะเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต ) 8. กระดูกพิการ มีประมาณ 300 ท่อน ถ้าพิการ โรคนี้จะแก้ยากยิ่งนัก ( คัมภีร์โรคนิทาน พูดถึง กระดูก 300 ท่อน และ เส้น 2700 เส้น เนื้อ 500 ซึ่ง แตกต่าง จากแผนปัจจุบัน พูดไว้ ) ( ถ้ากระดูก พิการ จะแก้ ยากมาก ) 9. เยื่อในกระดูกพิการ ( คัมภีร์ไม่บอกอาการ แต่บอก ยาแก้ เหมือนแก้กระดูก ) 10. ม้ามพิการ / แตก ให้ม้ามหย่อน 11. ดวงหทัย พิการ / แตก กระทำให้เป็น คนจริต ถ้ายังอ่อนอยู่ ให้คุ้มดี คุมร้าย มักขึ้งโกรธ บางที ให้ระส่ำระสาย ให้หิวหากำลังมิได้ ( ถ้า เป็น หัวใจ ให้เน้น ว่า จะ หิวโหย หาแรง หรือ หา กำลังมิได้ ) ( แต่ ถ้า ขึ้งโกรธ คุ้มดี คุ้มร้าย จะ คล้ายกับ ปิตตัง โดยเฉพาะ พัทธปิตตะ พิการ แต่ถ้าเจอ คำว่า หิวโหย หาแรง มิได้ ก็ฟันลงไปที่ หัวใจ ) 12. ตับพิการ / แตก เป็นเพราะโทษ 4 ประการ - ( กาฬผุดขึ้นในตับ ) ทำให้ตับหย่อน ( กาฬ คือ เม็ด ) - ( เป็นฝีในตับ ) ทำให้ ลงเป็น โลหิตสดๆ ออกมา ( มี ฝี มีหนอง ในตับ ) - ( กาฬมูตรผุดขึ้นในตับ ) กระทำให้ ลงเป็นเสมหะ โลหิตเน่า ปวดบวมอยู่เสมอ ให้ ( ตาแดง เป็นสายโลหิต ) คนทั้งปวง สมมุติว่า เป็น กระสือ ปีศาจ เข้าปลอมกิน เพราะ คนไข้ เพ้อ หาสติ มิได้ เจรจา ด้วยผี หมอจะแก้ ยากนัก เป็นด้วย สาเหตุ จริงๆ มาจากปถวีธาตุ แตกเอง ให้ระส่ำระสาย ให้หอบไอ อยู่ เป็น ทิว จะบริโภคอาหาร ก็ไม่ได้ หายใจ ก็ไม่ถึง ท้องน้อย ( อาจจะมีอาการ ถ่าย เป็น เสมหะเน่า ต้องไป ศึกษา เกี่ยวกับ กาฬละมูตร ในคัมภีร์ อื่นอีกที หนึ่ง ) ( เวลา ตับ พิการ หรือ แตก จะมี อาการ * ตาแดง ดุจสายโลหิต คน เห็น จะนึกว่า เป็น กระสือ หรือ ปีศาจ เพราะ คนไข้ จะเพ้อ หาสติไม่ได้ พูด ไปเรื่อย เหมือนคุยกับ ผี สาง ตาแดง ไม่มองใคร ก้มหน้า หมอ ผีก็นึกว่า ผีเข้า ก็ตี กัน จริงๆ เป็นโรค เกี่ยวกับ ตับพิการ 13. พังพืดพิการ / แตก ให้อกแห้ง กระหายน้ำ ริดสีดวงแห้ง นั่นเอง ( เหมือนใน เวชศึกษา ) 14. ไตพิการ / แตก ให้ขัดอก ให้ลงท้อง ท้องขึ้น ท้องพอง ( เหมือนใน เวชศึกษา ) 15. ปอดพิการ / แตก อาการดุจ เป็นไข้ คือ กาฬ ขึ้นในปอด ให้ร้อนอก กระหายน้ำ แล้วหอบ จนโครงลด ให้กินน้ำ จนปอดลอย จึงหายอยาก บางที จนอาเจียน้ำ ออก มาจึงจะหายอยาก ( โครงลด คือ หอบ จน ซี่โครง ยุบไปเลย ถ้า อาการ ปอด จะเกี่ยวกับ กระหายน้ำ มากเลย บางที อาเจียน จน น้ำออกมา จึงหายอยาก บางที ต้องอาเจียน บางที ต้องกินน้ำ ) 16. ไส้ใหญ่พิการ / แตก กินอาหารผิดสำแดง ให้ปวดท้อง ให้ขัดอก บางทีให้ลง ให้อาเจียน คือ " ลมกัมมัชวาต " พัดให้เสมหะ เป็น ดาน กลับ เข้าไปในท้อง ในทรวงอก ( อันตัง ) 17. ไส้น้อยพิการ / แตก ให้วิงเวียนหน้าตา จะลุกยืนขึ้น ให้หาว เรอ ให้จุกเสียด เจ็บเอว ให้เสมหะ ขึ้นคอ ให้ร้อนคอ ร้อนท้องน้อย เป็นลม คลื่นเหียน ให้ตกโลหิต ให้ตกหนอง ( อันตะคุนัง ) 18. อาหารใหม่พิการ / แตก ถ้า บริโภคอาหารเข้าไป อิ่มแล้ว เมื่อใด ก็ทำให้ร้อนท้องยิ่งนัก บางที ให้สะอึก ให้จุกเสียดตามชายโครง ให้พะอืดพะอม คนสมมุติ ว่า ( ธาตุไฟหย่อน ) แต่ ไม่ใช่อย่างนี้ เป็นเพราะ บริโภคอาหาร ที่ ไม่เคย บริโภค เช่น อาหารดิบ หรือ " ลมกุจฉิสยาวาตา " พัดไม่ตลอด ให้เป็น ไปต่างๆ บางที ให้ลง บางที ให้ เป็น พรรดึก แดกขึ้น แดกลง กินอาหาร ไม่ได้ ( พอเรากิน เข้าไป ปริณา มัน หย่อน ก็ ทำให้ เกิดของ เสีย คั่งค้าง ท้องอืดท้องเฟ้อ แต่ ไม่ใช่ เป็นเพราะ ทานอาหาร ที่ไม่เคย บริโภค อาจจะ ทานอาหารดิบ หรือ ลมกุจฉิสยาวาตา มัน พัด ไม่ตลอด ก็เลย เป็นไป ต่างๆ บางที ถ่ายท้อง บางที ท้องผูก แดกขึ้น แดกลง กินอาหาร ไม่ได้ ) ( อาหาร ใหม่ นั้น สำคัญ เวลา กินเข้าไป ใหม่ๆ ต้อง ระวัง ) 19. อาหารเก่า พิการ / แตก ซางขโมย กินลำไส้ เมื่อพ้นกำหนดซางแล้ว คือ " ริดสีดวงคูภทวาร " ( โบราณว่า น่าจะ เกิด ตั้งแต่ ยังเด็ก ซางขโมย มันไปกิน ลำไส้ ทำให้ระบบ ลำไส้ ผิดปกติ พอเป็นผู้ใหญ่ ก็เลย เนป็น ริดสีดวงทวาร ) 20. สมองพิการ / แตก ให้เจ็บศรีษะ ดัง จะแตก ให้ตามืด ให้หูตึง ปาก และ จมูก เฟดขึ้น ลิ้นกระด้าง เดิม เป็น เพราะ สันนิบาต ลมประกัง ถ้ายาใด ๆ ก็แก้ ไม่หาย ( ปากจมูก เฟด คือ มันไม่รับรู้ กลิ่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คัมภีร์โรคนิทาน

พระคัมภีร์โรคนิทาน ( อ.ประสิทธิ คงทรัพย์ ) ในพระคัมภี์ พระบรมอรรคธรรม = ความสิ้นอายุ = ธาตุจะขาด หย่อน พิการ หรือ ขาดหายไป แจ้งอยู่ใน ( คั...