วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

คัมภีร์ธาตุวิภังค์

( คัมภีร์ธาตุวิภังค์ ) อ.ประสิทธิ์ คงทรัพย์ คัมภีร์ธาตุวิภังค์ กล่าวถึง สาเหตุการเสียชีวิต ที่เกิดขึ้น กับ แต่ละบุคคล และ อาการที่ เกิดขึ้น เมื่อ ธาตุ ทั้ง 4 พิการ ได้แก่ ธาตุ ทั้ง 4 ขาด เหลือ ธาตุทั้ง 4 พิการตามฤดู และ ยารักษาโรค และ ธาตุ ทั้ง 4 พิการ และ ยารักษาโรค สาเหตุการเสียชีวิต ของ บุคคล 1. บุคคล ตายด้วย ปัจจุบันกรรม และ ปัจจุบันโรค โอปักกะมิกกาพาธ : ถูกทุบถองโบยตี บอบช้ำ หรือ ราชอาญา ของ พระมหากษัตริย์ ให้ประหารชีวิต การตาย ด้วยปัจจุบัน นี้ มิได้ตาย เป็น ปกติ โดยลำดับขั้น ( ขันธชวนะ ) และ ธาตุ ทั้ง 4 มิได้ล่วงไปโดย ลำดับ ตายอย่างนี้ เรียกว่า ( ตายด้วยปัจจุบันกรรม ) ส่วน " ปัจจุบันโรค " เกิดโรคตาย โดยปัจจุบันทันด่วน เช่น อหิวาตกโรค โรคอัน เป็นพิษซึ่งกำเริบขึ้น โดยเร็ว แล้วตายไป ธาตุทั้ง 4 มิได้ขาดไป ตามลำดับ อย่างนี้ เรียกว่า ตายด้วย ปัจจุบันโรค ( จุดแตกต่าง ของ ธาตุวิภังค์ จะ มี ปัจจุบันกรรม เพิ่มขึ้นมา ปัจจุบันรรม คือ ถูกทุบถองโบยตี ไม่ได้ตาย ไปตาม ลำดับ ขั้น แบบ ขันธชวนะ เรียกการตาย ด้วย ปัจจุบันกรรม เหตุที่เกิด ขึ้น ปัจจุบันทันด่วน ) ถ้า การตายโดย โอปักกะมิกพาธ ในความหมาย ของ คัมภีร์โรคนิทาน คือ การตาย ด้วย ปัจจุบันโรค ต่างกัน ส่วน การตาย ด้วย ปัจจุบันโรค ของ คัมภีร์ธาตุวิภังค์ คือ การตายแบบ ปัจจุบันทันด่วนด้วยโรค เช่น อหิวาตกโรค ธาตุทั้ง 4 มิได้ ขาดไป ตามลำดับ ตายอย่าง รวดเร็ว 2. บุคลตายด้วย โบราณกรรม และ โบราณโรค ุบุคคลตายด้วย โบราณกรรม คือ ตายโดยกำหนดสิ้นอายุ เป็น " ปริโยสาน " คือ อายุย่างเข้าสู่ ความชรา ธาตุทั้ง 4 ขาดไปตามลำดับ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ตาย อ่างนี้ เรียกว่า ( ตายด้วย โบราณกรรม ) ส่วนการตาย ด้วย โบราณโรค นั้น เป็นโรค คร่ำคร่า เรื้อรัง มานาน หลายเดือน หลายปี เรียกว่า " โบราณโรค " เวลาจะตาย ธาตุทั้ง 4 ขดไป ตามลำดับ แล้วตายไป เรียกว่า " ตายด้วยโบราณโรค " ( การตายด้วยโบราณกรรม คือการ ตายของ บุคคลที่ ค่อยๆตาย ธาตุ ทั้ง 4 ค่อยๆขาดจากไป เหมือน ผลไม้ ที่ แก่ สุกงอม แล้ว หล่นลงมาเอง บางที ไม่ได้เจ็บป่วย ก็ตายไป เรียกว่า ตายด้วย โบราณกรรม ) ( การตายด้วย โบราณโรค คือ เป็นเรื้อรังมานาน ตายด้วยโรค นั้น เกิดจากโรคก่อน แล้ว ธาตุทั้ง 4 ขาดไป ตามลำดับ ) ( ถ้า โรคทำให้เกิดการตายอย่างรวดเร็ว คือ " ปัจจุบันโรค " แต่ถ้า โรค ทำให้ ตาย อย่าง ช้าๆ เรียก " โบราณโรค " แต่ ถ้า ค่อยเป็น ค่อยไปตายไป โดยไม่ได้ เป็นเพราะ โรค เรียกว่า " โบราณกรรม " ) * คัมภีร์โรคนิทาน มีความ เก่าแก่กว่า ก็จะมี ปัจจุบันโรค กับ โบราณโรค ส่วน คัมภีร์ธาตุวิภังค์ มีมาทีหลัง ก็ จะมี 2 แบบ เหมือนกัน แต่จะ แตกย่อยออกไป แบบ ละ 2 อย่าง ( ว่าด้วยธาตุ ทั้ง 4 ขาดเหลือ ) บุคคลตาย โดยสิ้นกำหนด อายุ เป็น " ปริโยสาน " นั้น ธาตุทั้ง 4 ย่อมขาดสูญ ไปตามลำดับ แต่เมื่อ จะสิ้น อายุ แต่ละ ธาตุขาดเหลือ ดังนี้ 1. ปถวีธาตุ 20 ขาดไป 19 หทยัง ( หัวใจ ) ยังอยู่ 2. อาโปธาตุ 12 ขาดไป 11 ปัตตัง ( น้ำดี ) ยังอยู่ 3. วาโยธาตุ 6 ขาดไป 5 อัสสาสะปัสสาสะวาตา ยังอยู่ 4. เตโชธาตุุ 4 ขาดไป 3 สันตัปปัคคี ยังอยู่ ถ้า ธาตุ ทั้งหลายสูญสิ้น พร้อมกัน ดังกล่าวนี้ ท่านว่า เยียวยาไม่หายหากขาด หรือ หย่อนไป แต่ละสิ่ง สองสิ่ง ยังพอพยาบาลได้ ( ในคัมภีร์โรคนิทาน ก็ พูดเรื่องนี้ ไว้เหมือนกัน ต่างกันที่ ธาตุน้ำ ) ( ธาตุ ทั้ง 4 พิการตาม ฤดู ) ธาตุวิภังค์ แบ่งเป็น 4 ฤดู ฤดูละ 3 เดือน 1. เดือน 5 , 6 , 7 ( เตโชธาตุ สันตัปปัคคีพิการ ) อาการ : ให้เย็นในอก , วิงเวียน , รับประทานอาหาร ไม่ได้ บริโภคอาหารอิ่มมักจุกเสียดขัดในอก อาหาร มักพลันแหลก มิได้อยู่ในท้อง ให้อยากบ่อยๆ จึงเป็น เหตุให้เกิดลม 6 จำพวก ( เหมือนกัน กับ คัมภีร์โรคนิทาน อาการ เช่นเดียว กับ ในโรคนิทาน เกิดจาก ธาตุไฟ สันตัปปัคคี มาก่อน แล้วเกิด ลม 6 กอง ) ลม 6 กอง 1.1 ลมชื่อ อุทรันตะวาตะ - พัดแต่สะดือ ถึงลำคอ 1.2 ลมชื่อ อุระปักขะรันตะวาตะ - พัดให้ขัดแต่ อก ถึง ลำคอ 1.3 ลมชื่อ อัสสาสะวาตะ -พัดให้นาสิกตึง ( จมูกตึง จมูกขัด ) 1.4 ลมชื่อ ปัสสาสะวาตุ - พัดให้หายใจขัดอก ( หายใจแล้ว หายใจไม่เต็มปอด ขัดแน่น ในอก ) 1.5 ลมชื่อ อนุวาตะ - พัดให้หายใจขัด ให้ลมจับแน่นิ่งไป ( ลม ขาดหายไป เป็น ช่วงๆ ) 1.6 ลมชื่อ มหสกะวาตะ - คือ ( ลมมหาสดมภ์ ให้นอนหาวมาก หวั่นไหว หัวใจ ให้นอนแน่นิ่งไป มิรู้สึกกาย ) 2. เดือน 8 , 9 , 10 วาโยธาตุ ให้ผอมเหลือง ให้เมื่อยทุกข้อ ทุกลำตัว ให้แดกขึ้นแดกลง ให้ลั่นโครก ให้หายใจเรอ วิงเวียน หน้าตา หูหน้า มักให้ร้อน ในอกในใจ ให้ระทดระทวย ให้หายใจสั่น ให้เหม็นมาก และ หวานปาก มักให้ โลหิต ออกทาง จมูก ทางปาก กินอาหาร ไม่รู้รส ( อาการ ก็เหมือน วาโยธาตุ พิการ ของ คัมภีร์ โรคนิทาน ) 3. เดือน 11 , 12 , 1 ( อาหารที่กิน มักผิดสำแดง ) อาหารเป็นเหตุ โดยเฉพาะ ใน เดือน 11 , 12 , 1 ธาตุน้ำ พิการ ได้มาก 3.1 ดีพิการ - มักให้ขึ้งโกรธ สะดุ้งตกใจ หวาดกลัว * ( คำว่า ขึ้งโกรธ จะเจอใน หทยัง กับ ดี แต่ สำหรับ หทยัง จะมี หิวโหย หาแรงมิได้ ด้วย ) 3.2 เสมหะพิการ - ให้กินอาหาร ไม่รู้รส 3.3 หนองพิการ - มักให้ ไอ เป็นโลหิต 3.4 โลหิตพิการ - มักให้เพ้อพก ให้ร้อน ( อาจจะเกิด เป็น อีสุกอีไส อีดำ อีแดง ก็ได้ เป็นโรคไข้ต่างๆ) 3.5 เหงื่อพิการ - มักให้ ซูบผอม ให้ผิวหนังสากชา 3.6 มันข้นพิการ - มักให้ปวดศรีษะ ให้ปวดตา ให้ขาสั่น 3.7 น้ำตาพิการ - มักให้ตามัว น้ำตาตก ตาแห้ง ดวงตา เป็น ดั่งเยื่อ ลำไย 3.8 มันเหลวพิการ - ให้แล่นออกทั่วตาย ให้นัยน์ตาเหลือง มูต และ คูถเหลืองบางที ให้ลง อาเจียน 3.9 น้ำลายพิการ - ให้ปากเปื่อย คอเปื่อย บางที ให้เป็น ยอดเป็นเม็ด ในลำคอ บางที เป็นไข้ ให้ปากแห้ง คอแห้ง 3.10 น้ำมูกพิการ - ให้ปวดศรีษะ เป็นหวัด ให้ปวดสมอง น้ำมูกตก นัยน์ตา มัว วิงเวียน ศรีษะ 3.11 ไขข้อพิการ - ให้เมื่อย ทุกข้อ ทุกกระดูก ให้ขัด ตึง ทุกข้อ 3.12 มูตรพิการ - ให้ปัสสาวะแดง ขัดปัสสาวะ เป็น โลหิต เจ็บปวด เป็นกำลัง 4. เดือน 2 , 3 , 4 ( นอนผิดเวลา ปถวีธาตุ พิการ ) * ( คำว่า พิการ ตามฤดู คือ ในช่วง เดือน 2 , 3 , 4 โอกาส ที่ ธาตุดิน จะพิกา ได้สูง โดย เฉพาะ หากมี ปัจจัยเสริม เช่น นอนผิดเวลา ) 4.1 ผมพิการ - ให้เจ็บตามรากผม ให้คันศรีษะ ผมหงอก ผมเป็นรังแค เจ็บหนังศรีษะ 4.2 ขนพิการ - ให้เจ็บทั่วกาย ทุกเส้นขน ให้ขนลุก ขนพอง ทั้งตัว 4.3 เล็บพิการ - ต้นเล็บ เจ็บ เล็บเขียว ช้ำดำ เจ็บเสียวหลายนิ้วมือ นิ้วเท้า 4.4 ฟันพิการ - ให้เจ็บไรฟัน ให้ฟันหลุด ฟันโยกคลอน 4.5 หนังพิการ - ให้ร้อนผิวหนัง ทั่วกาย บางที ให้เป็น ผื่นขึ้น ทั้งตัว ดุจหัวผด ให้ปวดแสบ ปวดร้อน 4.6 เนื้อพิการ - ให้นอนสะดุ้ง ไม่สมปฤดี มักให้ ฟกบวม บางที ให้ผุด ขึ้นเม็ดสีเขียว สีแดง ทั่วทั้งตัว ( ถ้า เนื้อ มักจะมี ฟกบวม และ มีลักษณะ ของ อาการ เกี่ยวกับ โลหิต เช่น เป็นเม็ด ผุด ขึ้นมา ได้เหมือนกัน แต่ จุด สำคัญ คือ มีฟกบวม ) 4.7 เอ็นพิการ - ให้จับสะบัดร้อน สะท้านหนาว ให้ปวดศรีษะ มาก เรียก " อัมพฤกษ์กำเริบ " ( ก่อนจะมี เส้นเลือด แตก ตีบตัน ในสมอง ก็จะมีอาการ ปวดศรีษะมาก บางคน ร้อนๆหนาวๆ ก็อาจจะเทียบได้ กับ อาการ ปัจจุบัน ) 4.8 กระดูกพิการ - ให้เมื่อยในข้อ ในกระดูก 4.9 เยื่อในกระดูกพิการ - ให้ปวดตามแท่งกระดูก เป็นกำลัง ( อัฐธิมิญชัง ) 4.10 ม้ามพิการ - ให้ม้ามหย่อน มักเป็น ป้าง ( คำว่า ป้าง คือ อาการ ของ ม้ามหย่อน ม้ามโต นั่นเอง ) 4.11 หัวใจพิการ - ให้คลั่งไคล้ ดุจเป็นบ้า ถ้ามิฉะนั้น ให้หิวโหยหาแรงมิได้ ให้ทุรนทุราย ยิ่งนัก 4.12 ตับพิการ - ให้ตับโต ตับทรุด เป็น ฝี ในตับ กาฬ ขึ้นในตับ 4.13 พังพืดพิการ - ให้เจ็บ ให้จุก เสียด ให้อาเจียน ให้แดกขึ้น แดกลง 4.14 ไตพิการ - ให้ปวดท้อง แดกขึ้น แดกลง ปวดขัดเป็นกำลัง 4.15 ปอดพิการ - ให้เจ็บปอด ให้ปอด เป็นพิษ ให้กระหายน้ำมาก กินน้ำ จนปอดลอย จึงหายอยาก ( ปอด ให้ดูที่กระหายน้ำ ) 4.16 ลำไส้ใหญ่พิการ - ให้สะอึก ให้หาว ให้เรอ 4.17 ลำไส้น้อยพิการ - ให้พะอืดพะอม ให้ท้องขึ้น ท้องพอง มักเป็น ท้องมาน ลมกระษัย บางที ให้ลงท้อง ตกมูกเลือด เป็นไป ต่างๆ 4.18 อาหารใหม่พิการ - ให้ลงแดง ให้ราก มักเป็น ป่วง 8 จำพวก 4.19 อาหารเก่าพิการ - ให้กินอาหาร ไม่รู้รส เป็นต้นเหตุ ให้เกิดโรค ต่างๆ เพราะ อาหารผิดสำแดง 4.20 มันสมองพิการ - ปกติ สมองศรีษะ พร่อง จากกระบาลศรีษะ ประมาณ เส้นตอกใหญ่ๆ ถ้าเจ็บปวด พิการ มันในสมอง ก็ เดือดขึ้น เต็ม กระบาลศรีษะ ให้ปวด เป็นกำลัง นัยน์ตาแดงคลั่ง เรียกว่า " สันนิบาต " ให้สุมยา รสสุขุม มันสมอง จึงจะ ยุบ และ หายปวด ( มีช่องว่าง ระหว่าง เนื้อ สมอง กับ กระโหลก ช่องว่า มีขนาด หนา ประมาณ เส้นตอก ใหญ่ ถ้าเจ็บปวด มันสมอง จะขยายตัว ไปดัน กระโหลก ศรีษะ ให้ ปวด ตาจะแดงคลั่ง ) ( ว่าด้วย ธาตุ ทั้ง 4 พิการ ) 1. เตโชธาตุ 4 พิการ 1.1 ปริณามัคคี พิการ -อาการให้ร้อนในอก ในใจ ไอเป็น มองคร่อ ท้องขึ้น ท้องพอง พะอืดพะอม ( ไฟย่อย ไม่ทำงาน หรือ ทำงาน น้อย กระบวนการ ย่อยอาหาร ไม่ดี ) 1.2 ปริทัยหัคคี พิการ - อาการให้ มือเท้าเย็น ชีพจรเดินไม่สะดวก อีกประหนึ่ง ให้ชีพจร ขาดหลัก 1 หลัก 2 ก็ดี บางที ให้เย็น เป็น น้ำ แต่ภายใน ให้รดน้ำ มิได้ขาด บางที ให้เย็น แต่ เหงื่อ ตกเป็นดัง เม็ดข้าวโพด ( ไฟระส่ำระสาย มีสภาวะ เหมือนคน กำลัง ช็อค ชีพจรจะเบา แล้ว ขาดเป็น ช่วงๆ ร้อนภายใน บางที เย็นจัด มีเหงื่อตก เป็นเม็ด เท่าเม็ดข้าวโพด ) 1.3 ชิรณัคคี พิการ - ให้หน้าผากตึง นัยน์ตา ดู ไม่รู้จัก อะไร มองไม่เห็น แล้ว กลับเห็น หูตึง แล้ว กลับได้ยิน จมุก ไม่รู้กลิ่น แล้ว กลับรู้ ลิ้นไม่รู้รสอาหาร แล้ว กลับรู้ กายไม่รู้สึก สัมผัส แล้ว กลับรู้ อาการเปลี่ยนไปมา ด้วย พญามัจจุราช มาประเล้าประโลม สัตว์ทั้งหลาย ( ลักษณะคน แก่ เดี๋ยวหูตึง ตามัว เดี๋ยวได้กลิ่น ไม่ได้กลิ่น ) 1.4 สันตัปปัคคี พิการ - ถ้าแตก แล้วเมื่อใด เยียวยา ไม่ได้ เลย ตายเที่ยงแท้ ( แตก เมื่อใด คือตาย ) 2. วาโยธาตุ 6 พิการ / แตก 2.1 อุทธังคมาวาตา พิการ - อาการดิ้นรน มือเท้า ขวักไขว่ ให้พลิกตัว ไปๆ มาๆ ให้ทุรนทุราย หาวเรอบ่อย ( ลมพัดขึ้น มือเท้า ก็เลยยกขึ้น ขวักไขว่ ) 2.2 อโธคมาวาตา พิการ - เมื่อยขบ ขัดทุกข้อ ทุกกระดูก ให้ยกมือ ยกเท้า ไม่ไหว เจ็บปวด เป็นกำลัง ( ลมพัดลง กดไว้ เลยยก ไม่ไหว ) 2.3 กิจฉิสยาวาตา พิการ ( แตก ) - ให้ท้องขึ้น ท้องพอง ให้ลั่น ในท้อง ดังจ๊อกๆ ให้เจ็บในอก ให้สวิงสวาย ให้เจ็บ แดกขึ้น แดกลง ( ลมในท้อง แต่นอกไส้ ลมในท้องเยอะ ) 2.4 โกฎฐาสยาวาตา พิการ ( แตก ) - อาการ เหม็นข้าว อาเจียน จุกอก ให้เสียด และ แน่นหน้าอก ( ลมในไส้ จะมีอาการ เหม็นข้าว ) * จุดแตกต่าง ของ ลมโกฏฐาสยาวาตา กับ ลมกุจฉิสยาวาตา คือ โกฎฐาสยาวาตา จะ เหม็นข้าว เพราะ มันมาจาก ลำไส้ 2.5 ลมอังคมังคานุสารีวาตา พิการ ( แตก ) - อาการให้หูตึง เจรจา ไม่ได้ยิน ให้เป็น หิ่งห้อย ออกจาก ลูกตา ให้เมื่อยมือ และ เท้า ดังกระดูก จะแตก ให้ปวดในกระดูกสันหลัง ดัง เป็นฝี ให้ สะบัดร้อน สะท้านหนาว ให้คลื่นเหียน อาเจียน ลมเปล่า ( หิ่งห้อย ออกจากตา อาการ จะเหมือน ในคัมภีร์โรคนิทาน ) 2.6 อัสสาสะปัสสาสะวาตา พิการ ( แตก ) - จะพิการ หรือ แตกไม่ได้ ลมอันนี้ คือ ลมอันพัด ให้หายใจเข้า ออก ถ้าสิ้นลมหาใจ เข้าออก ลมหายใจขาดแล้ว เมื่อใด ก็ตาย เมื่อนั้น เมื่อใกล้จะตาย ให้หายใจสั้นเข้าๆ จนไม่ออก ไม่เข้า ( ลมนี้ คือ ลม พัดให้หายใจเข้าออก ) 4. ปถวีธาตุ 20 พิการ 4.1 ผมพิการ - ให้เจ็บสมองศรีษะ ให้ชา ให้ผมร่วงหล่น 4.2 ขนพิการ - ให้เจ็บทุกเส้นขนทั่วกาย 4.3 เล็บพิการ - ให้ต้นเล็บ เจ็บช้ำดำเขียว บางที ให้ ฟกบวม คือ เป็น ตะมอย หัวดาว หัวเดือน กลางเดือน บางที ให้เจ็บช้ำ เลือด ช้ำหนอง เจ็บปวด เป็นกำลัง 4.4 ฟันพิการ - ให้เจ็บฟกบวมเป็นกำลัง ถึงฟันหลุด แล้วก็ดี มั เป็นไป ตามประเพณี สังสารวัฎ ให้เจ็บฟัน และ ไร ฟันเหงือก ตลอดสมอง ถ้า ฟันยังมิหลุด มิถอน ก็ให้ แก้ตาม ขบวนการ รำมะนาด นั้นเถิด 4.5 หนังพิการ - ให้หนังชาสากไปทั้งตัว แมลงกัด จับ หรือ ไต่ ก็ ไม่รู้สึ ให้แสบร้อน เป็นกำลัง เรียกว่า " กรรมให้โทษ " 4.6 เนื้อพิการ - เนื้อประมาณ 500 ชิ้น พิการให้เสียวซ่าน ไปทั่วทั้งตัว มักให้ฟกบวม ไม่เป็นที่ ให้เป็นพิษบางที ให้ร้อนดัง ไฟลวก บางที ก็ให้ฟกขึ้น ดังประกายเพลิง ( ฟกบวมขึ้น ดั่งโดนไฟ ) 4.7 เอ็นพิการ - เส้นประมาณ 10 เส้น เส้นบริวาร 2700 เส้นพิการ ให้หวาดหวั่นไหว ไปทั่วกาย ที่กล้า ก็กล้า ที่แข็ง ก็แข็ง ที่ตั้งดาน ก็ตั้งดาน เป็นก้อน เป็นเถาไป ที่จะให้ โษหนักนั้น คือ เส้นสุมนา และ เส้นอัมพฤกษ์ * เส้นสุมนา = ผูกดวงใจ สวิงสวายทุรนทุราย หิวหาแรงมิได้ ( ผูกดวงใจ ควบคุมหัวใจ ผูกรัด ดวงใจ ระบบดวงใจ ของเรา มันทำงาน ไม่สะดวก สวิงสวาย หิวโหย หาแรงมิได้ คล้ายกับ หัวใจ ) * เส้นอัมพฤกษ์ = ให้กระสับกระส่าย ให้ร้อน ให้เย็น ให้เมื่อยเสียว ไปทุกเส้นเอ็นทั้งตัว ตั้งแต่ศรีษะ ตลอด ทั้งตัว ตั้งแต่ ศรีษะ ตลอดถึงเท้า บางที ให้เจ็บ เป็นเวลา 4.8 กระดูก พิการ - กระดูก 300 ท่อนพิการ ก็ดี แตก ก็ดี น้ำมัน ซึ่งจุก อยู่ในข้อนั้น ละลาย ออกมาแล้ว ให้เจ็บปวด กระดูก ดุจดังจะเคลื่อนคลาด ออกจากกัน 4.9 เยื่อในกระดูก พิการ - ให้ปวด ตามแท่งกระดูก 4.10 ม้าม พิการ - ให้ม้ามหย่อน มักเป็น ป้าง 4.11 หัวใจ พิการ - มักให้เป็นบ้า ถ้ายังอ่อนอยู่ ให้คุ้มดีคุ้มร้าย มักขึ้งโกรธ บางที ให้ระส่ำระสาย ให้หิวโหย หาแรง มิได้ ( ขึ้งโกรธ จะเจอ ใน น้ำดี ด้วย ) 4.12 ตับ พิการ - เป็นโทษ 4 ประการ ล่วงเข้า ลักษระ อติสาร คือ กาฬ ผุดในตับ ให้ตับหย่อน ตับทรุด บางที เป็นฝี ในตับ ให้ลง เป็นเลือดสดๆ ออกมา อันนี้คือ กาฬมูตร ผุดขึ้นต้นลิ้น กินอยู่ในตับ ให้ลง เป็น เสมหะโลหิต เท่าปวดมวน เป็นกำลัง ให้ลง วันละ 20 หรือ 30 หน ให้ตาแข็ง ตาแดง เป็น สายเลือด 4.13 พังพืด พิการ - มักให้ อกแห้ง กระหายน้ำ โรคริดสีดวง แห้ง 4.14 ไต พิการ - ให้ขัดอก ท้องพอง ให้แน่นนอก ในท้อง กินอาหาร ไม่ได้ 4.15 ปอด พิการ - อาการ เป็น ดุจดัง ไข้พิษ กาฬขึ้นในปอด ให้ร้อนในอก กระหายน้ำ หอบดุจดัง หอบแดด จนโครงลด ให้กินน้ำ จน ปอดลอย จึงหายอยาก บางที กินจนอาเจียน น้ำออกมา จึงหายอยาก ( ปอดลอย เป็นการ เปรียบเทียบ ว่า กิน จนเต็มปอด ) 4.16 ลำไส้ใหญ่ พิการ - ให้วิงเวียน ลุกขึ้น ให้หาวเรอ ให้ขัดอก และ เสียดสีข้าง ให้เจ็บหลัง เจ็บเอว ให้ไอ เสมหะ ขึ้นคอ ให้ตกเลือด ตกหนอง 4.17 ลำไส้น้อย พิการ - ให้กินอาหาร ผิดสำแดง ให้ปวดท้อง ขัดอก บางที ลงให้ อาเจียน อันนี้คือ " ลมกัมมัชวาต " ขัดเบา แผ่นเสมหะ ให้เป็นดาน กลับเข้า ในท้อง ในทรวงอก ก็ตัดอาหาร ท่านว่า ไส้ตีบ ( ไส้ตีบ คือ กินอะไร ลงไปไม่ได้ ) 4.18 อาการใหม่ พิการ - กินข้าวอิ่ม เมื่อใด มักให้ร้อนท้องนัก บางทีดุจดังกินยารุ บางทีให้สะอึก ขัดหัวอก ให้จุกเสียดตามชายโครง พะอืดพะอม สมมุติว่า ไฟธาตุ นั้นหย่อน โรคนี้ ย่อมให้ โทษ เพราะ อาหาร ไม่ควรกิน นั้น อย่างหนึ่ กินอาหารดิบ อย่างหนึ่ง ลมในท้อง พัดไปตลอด มักให้แปรไปต่างๆ บางที ให้ลงท้อง บางที ผูกเป็น พรรดึก ให้แดกขึ้น แดกลง กินอาหาร ไม่ได้ ( คนที่ มีอาการ เสียดชายโครง มีลมเกิดขึ้น หลังจาก กินอาหารใหม่ เราอาจจะ วินิจฉัยว่า เกิด จากไฟธาตุ ตัวย่อย นั้น หย่อน ก็ได้ ทำให้เกิด ความพิการ จากอาหาร ใหม่พิการ หรือ กินอาหาร ดิบ หรือ อาหาร ย่อยยาก ทำให้ ลมพัด ไม่ตลอด มักทำให้เป็นโรค ต่างๆ เช่น ถ่ายท้อง หรือ ท้องผูก ไม่แน่ ไม่นอน ) 4.19 อาการเก่า พิการ - คือ ซางขโมยกินลำไส้ ถ้าพ้น กำหนดซางแล้ว ถือว่า เป็น ริดสีดวง ( คำว่า ซางขโมย กินลำไส้ หมายความว่า ตอนช่วงเด็ก มีซาง คือ มีโรคเกี่ยวกับ พยาธิ หรือ ขาดสารอาหาร หรือ พยาธิ กินลำไส้ พอพ้น กำหนดซางแล้ว ก็แปร เป็น ริดสีดวง เหมือน มีจุดอ่อน เกิดขึ้นใน ก่อนแล้ว พอโต ก็ เป็นริดสีดวง ) 4.20 มันสมอง พิการ - ให้เจ็บกระบาล ศรีษะ จะแตก ให้ตามัว หูตึง ปาก และ จมูก ชักขึ้น เป็น เฟ็ดไป ลิ้นกระด้าง คางแข็ง ลักษณะ ดังนี้ เดิม เมื่อจะเป็น เพราะ โทษแห่ง " ลมประกัง " ให้ปวดหัว เป็นกำลัง แก้มิฟัง ตาย ( ลมปะกัง ถ้าแก้ ไม่ได้ คือ ตาย ในแผนปัจจุบัน เป็นโรค ที่เกี่ยวกับ เนื้อสมอง ก็ ได้ ) ( ยาแก้ เตโชธาตุ พิการ ) - ในเดือน 5 , 6 , 7 ( กินอาหาร พลันแหลก ทำให้จุกอก รู้สึก อาหาร ไม่อยู่ท้อง )ใช้ ตำรับ ( กาลาธิจร ) ส่วนประกอบ โกฐสอ / โกฐพุงปลา / ดีปลี / หัวแห้วหมู / เปลือกโมกมัน / ผลผักชี / อบเชย / สะค้าน / ขิง / ผลเอ็น / อำพัน ( เสมอภาค ) วิธีทำ - บด เป็นผง ละลายน้ำร้อน / หรือละลาย น้ำผึ้ง กินแก้ เตโชธาตุ พิการ ( ยาแก้ วาโยธาตุพิการ ) - ยา ฤทธิจร ส่วนประกอบ ดีปลี / แฝกหอม / เปราะหอม / พริกไทย / หัวแห้วหมู ว่านน้ำ / สิ่งละ 1 ส่วน ( รากกระเทียม 6 ส่วน ) หรือจะเรียกว่า ประสะ รากกระเทียม ก็ได้ เท่าจำนวนยาทั้งหมด วิธีทำ บดเป็นผง ละลายน้ำร้อน หรือ น้ำผึ้ง กิน ( ยาแก้ อาโปธาตุพิการ ) รากเจตมูลเพลิง / โกศสอ / ลูกผักชี / ขิงแห้ง / ดีปลี / ลูกมะตูมอ่อน สะค้าน / หัวแห้วหมู / ลูกพิลังกาสา / รากคัดเค้า / เปลือกโมกมัน / สมุลแว้ง / กกลังกา / ดอกพิกุล / ดอกบุนนาค / ดอกสารภี / เกสรบัวหลวง / รากขัดมอญ ( เสมอภาค ) วิธีทำ ต้มน้ำ 3 เอา 1 กินแก้ อาโปธาตุ หายแล ( ยาแก้ปถวีธาตุุ พิการ ) - ( สมอง / กระดูก / ม้าม ) หรือ จะเรียกว่า ตรีชวาสังข์ สิ่งละ 1 ส่วน = กระเทียม / ใบสะเดา / ใบคนทีสอ / เปลือกตีนเป็ด / เบญจกูล สิ่งละ 2 ส่วน = ลูกจันทน์ / ดอกจันทน์ / กระวาน / กานพลู / ตรีกฏก / กรันเกรา ( จันทน์ ทั้ง 2 หนึ่งส่วน ) ( สมอทั้ง 3 หนึ่งส่วน ) ( สมุลแว้ง สามส่วน ) ( ยาแก้หัวใจพิการ ชื่อ มูลจิตใหญ่ ) ่ส่วนประกอบ ผลคนทีสอ / ใบสหัสคุณ / ผลตะลิงปลิง / จันทน์ทั้ง 2 / ดีปลี เทียนข้าวเปลือก / เทียนตาตั๊กแตน / เทพทาโร ( เสมอภาค ) บดเป็นผง ละลายน้ำ ( เปรียบเทียบ คัมภีร์โรคนิทาน กับ คัมภร์ธาตุวิภังค์ ) โรคนิทาน ความมรณะ แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ 1. มรณะด้วย โบราณโรค 2. มรณะด้วย ปัจจุบันโรค ส่วน คัมภีร์ธาตุวิภังค์ การตายของ บุคคล แบ่งออกเป็น 1. ตายด้วยปัจจุบันกรรม และ ปัจจุบันโรค 2. ตายด้วย โบราณกรรม และ โบราณโรค คัมภีร์โรคนิทาน จะกล่าวถึง ธาตุ 4 พิการตามฤดู คือ 1. เตโชธาตุพิการ ( สันตัปปัคคี พิการ ) เดือน 5 , 6 , 7 ทำให้เกิดลม 6 จำพวก ส่วน คัมภีร์ธาตุวิภังค์ ก็ กล่าวถึง ธาตุ 4 พิการ เดือน 5 , 6 , 7 เหมือนกัน เตโชธาตุ สันตัปปัคคี พิการ เกิดลม 6 จำพวก เหมือนกัน แต่ ชื่อ ของ ลม ต่างกัน คัมภีร์โรคนิทาน จะกล่าวถึง ธาตุ 4 พิการ ตามฤดู - วาโยธาตุพิการ ในเดือน 8 , 9 , 10 - อาโปธาตุพิการ ในเดือน 11 , 12 , 1 ( กินผัก และ อาหารผิดสำแดง - ปถวีธาตุ พิการ 2 , 3 , 4 ( เป็น ด้วยนอน ผิดเวลา ) ส่วนคัมภีร์ธาตุวิภังค์ - เดือน 8 , 9 , 10 เกิดวาโยธาตุพิการ - เดือน 11 , 12 , 1 เกิดอาโปธาตุพิการ ( อาหารที่กิน มักผิดสำแดง - เดือน 2 , 3 , 4 ปัถวีธาตุพิการ ( นอนผิดเวลา ) ซึ่ง ทั้ง 2 คัมภีร์ ก็จะ พูดถึง ธาตุ 4 พิการ ตามฤดู เหมือนกัน จุดแตกต่าง ของ โรคนิทาน และ ธาตุวิภังค์ คือ ธาตุสุดท้าย ที่ ค่อยๆหายไป คือ โรคนิทาน อาโปธาตุสุดท้าย จะเป็น เขโฬ น้ำลาย แต่ ธาตุวิภังค์ น้ำสุดท้าย คือ ปิตตัง คัมภีร์โรคนิทาน กล่าวถึง ธาตุทั้ง 4 แตก - เตโชธาตุแตก - วาโยธาตุแตก - อาโปธาตุแตก - ปถวีธาตุพิการ แต่ จะไม่ได้ กล่าวถึง ยาแก้ ส่วน คัมภีร์ธาตุวิภังค์ ว่า ด้วยธาตุ ทั้ง 4 พิการ - เตโชธาตุ 4 พิการ - วาโยธาตุ 6 พิการ - อาโปธาตุ 12 พิการ - ปถวีธาตุ 20 พิการ คัมภีร์ธาตุวิภังค์ จะ พูดถึง ธาตุ ทั้ง 4 พิการ แต่ละ ธาตุย่อย นั้น พิการอย่างไร และ กล่าวถึง ยาแก้ ไว้ - ยาแก้เตโชธาตุพิการ ( ยากาลาธิจร ) - ยาแก้วาโยธาตุพิการ ( ยาฤทธิ์จร ) - ยาแก้อาโปธาตุพิการ ( ยาแก้อาโปธาตุพิการ ) - ยาแก้ปถวีธาตุพิการ ( ยาแก้ปถวีธาตุพิการ ที่เรียกว่า ตรีชวาสังข์ ) - ยาแก้หัวใจพิการ ( ยามูลจิตใหญ่ ) ***ถ้าเรามาดู ส่วนที่ต่างกัน ถ้า เป็น โบราณโรค ตามความหมาย ของ โรคนิทาน คือ การตาย ตามลำดับขั้น ขันธ์ชวนะ คือ ธาตุทั้ง 4 ล่วงไปตามลำดับ แต่ * คัมภีร์ธาตุวิภังค์ คำว่า โบราณโรค มีความหมายว่า โรคที่ ค่อยๆทำให้ตาย ( โรคเรื้อรัง ) จุดต่าง อีกจุด คือ คัมภีร์โรคนิทาน * มรณะ ด้วยปัจจุุบันโรค ( โอปักกะมิกพาธ ) ถูกทุบถอง โบยตี บอบช้ำ หรือ ต้องราชอาญา ของพระมหากษตริย์ ให้ประหาร ด้วย หอก ดาบ ปืนไฟ ตาย แต่ คัมภีร์ธาตุวิภังค์ * ตายด้วย ปัจจุบันโรค คือ ตายด้วยโรค แบบ ปัจจุบันทันด่วน เช่น อหิวาตกโรค / โรคอันเป็นพิษ คัมภีร์ธาตุวิภังค์ * ตายโดย กำหนดสิ้นอายุ เป็น ( ปริโยสาน ) ธาตุทั้ง 4 ขาดไปตามลำดับ ตายแบบ คือ เอง ไม่มีโรคใด มา ทำให้ตาย ไม่มีการกระทำให้ให้ตายา แต่ ( ปัจจุบันกรรม ) โอปักกะมิกะพาธ คือ ถูกทุบถองโบยตี บอบช้ำ หรือ ต้องราชอาญา พระมหากษตริย์ ให้ประหารชีวิต ( ตายแบบ ถูกทำให้ตาย ) เกิดทันที คัมภีร์ธาตุวิภังค์ จะละเอียดกว่า เพราะ มีมาทีหลัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คัมภีร์โรคนิทาน

พระคัมภีร์โรคนิทาน ( อ.ประสิทธิ คงทรัพย์ ) ในพระคัมภี์ พระบรมอรรคธรรม = ความสิ้นอายุ = ธาตุจะขาด หย่อน พิการ หรือ ขาดหายไป แจ้งอยู่ใน ( คั...