วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

บทที่ 1 เวชกรรม ( เวชศึกษา )

บทที่ 1 เวชศึกษา
จรรยาแพทย์แผนไทย
1. มีเมตาจิตต่อคนไข้
2. ไม่โลภเห็นแก่ลาภ
3.ไม่เป็นคนโอ้อวด
4. ไม่ปิดบังความเขลาของตน
5. ไม่ปิดบังความดี ของผู้อื่น
6. ไม่หวงกีดกันลาภผู้อื่น
7.ไม่ลุแก่อำนาจแก่ อคติ 4
    - ฉันทาคติ
    - โทสาคติ
    - ภยาคติ
    - โมหาคติ
8.ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม 8
    - ได้ลาภ / เสื่อมลาภ
    - ได้ยศ / เสื่อมยศ
    - ได้สรรเสริญ / ได้นินทา
    - ได้รับสุข / ได้รับทุกข์ 
9. มี หิริโอตัปปะ คือ มีความ ละอายต่อบาป
10. ไม่เป็นคน เกียจคร้าน และ มักง่าย
11. มี โยนิโสมนสิการ คือ มีความ สุขุม ละเอียดรอบคอบ
12. ไม่เป็นคนมี สันดาน มัวเมา

*** ส่วนใหญ่ ข้อสอบ จะถามในส่วน ของ มี หิริโอตัปปะ กับ มี โอนิโสมนสิการ สองตัวนี้ เป็น คำ บาลี คำไทยเดิม ทำให้คน ค่อนข้าง จะสับสน ***

ในคัมภีร์ เวชศึกษา สิ่งที่ จะพูด ถึง และ เอามาออกสอบ มากที่สุด คือ กิจ 4 ประการ
        
                       ( กิจ 4 ประการ )
1. รู้จักที่ตั้งที่แรกเกิด ของโรค
2. รู้จัก ชื่อโรค
3. รู้จักยาที่รักษาโรค
4. รู้จักว่า ยาใดรักษาโรคใด

( 1 ). ( รู้จัก ที่ตั้ง ที่แรกเกิด ของโรค )
   ที่ตั้งที่แรกเกิด ของโรค คือ สาเหตุ ของโรค นั่นเอง

   1.1 ธาตุสมุฎฐาน
          - ปถวีสมุฎฐาน ดิน หมายถึง ธาตุที่มีความหยาบ ความหนัก
          - อาโปสมุฎฐาน น้ำ หมายถึง ของเหลว ที่อยู่ในร่างกาย รวมไปถึง น้ำเลือด น้ำเหลือง
          - วาโยสมุฎฐาน ลม หมายถึง แรง การขับเคลื่อนในร่างกาย
          - เตโชสมุฎฐาน ไฟ หมายถึง กระบวนการ สันดาป ให้เกิดความร้อน ในร่างกายของเรา
           ธาตุสมุฎฐาน จะพูดถึง เรื่องเกี่ยวกับ ธาตุ รู้จักว่า ปถวีธาตุ มีอะไรบ้าง อาโปธาตุ มีอะไรบ้าง วาโยธาตุ มีอะไรบ้าง เตโชธาตุ มีอะไรบ้าง
ในร่างกายของเรา ธาตุดิน เช่น  เกศา โลมา ณขา ทันตา ตะโจ มังสัง อัฐิมิญฉัง เป็นต้น เป็น อวัยวะ ที่เราเห็น ได้ รวมทั้ง ลำไส้ ที่อยู่ในร่างกาย

ธาตุน้ำ ก็มี น้ำมูก น้ำเหลือง ไขข้อ ก็จัดเป็น อาโปธาตุสมุฎฐาน

ธาตุลม ก็มี ลมพัดทั่วกาย ลมพัดขึ้น ลมพัดลง ลมหายใจเข้าออก ลมพัดในไส้ ลมพัดในท้อง แต่นอกไส้

ธาตุไฟ ก็จะมี ไฟอุ่นกาย ไฟย่อยอาหาร ไฟแก่คร่ำคร่า ไฟระส่ำระสาย

เราต้องรู้ว่า ศัพท์ บาลี แต่ละตัว แปลว่า อะไรบ้าง

    1.2 อุตุสมุฎฐาน
@ แบ่งเอาไว้ วินิจฉัย ตามโรค
          - ฤดู 3
          - ฤดู 4
          - ฤดู 6

อุตุสมุฎฐาน มี ฤดู 3 4 6 ซึ่งแต่ละ ปี จะมี 12 เดือน

ถ้าเป็น ฤดู 3 ก็จะ แบ่ง เป็น ฤดู ละ 4 เดือน

ถ้าเป็น ฤดู 4 ก็แบ่งเป็น ฤดูละ 3 เดือน

ถ้าเป็น ฤดู 6 ก็ ฤดู ละ 2 เดือน

    1.3 อายุสมุฎฐาน
          - ปฐมวัย
          - มัชฉิมวัย
          - ปัจฉิมวัย
@ ชอบนำมาออก เพราะในส่วน อายุสมุฎฐาน ของ เวชศึกษา จะคล้ายกับ อายุสมุฎฐาน ของ คัมภีร์สมุฎฐานวินิจฉัย แต่มีความต่างกัน ที่ต้องแยกแยะ ให้ได้ว่า เรากำลัง พูด ถึง คัมภีร์ อะไรกันแน่

*** อายุจะแบ่ง เป็น 3 ช่วง อายุคน คือ ปฐมวัย / มัชฌิมวัย / ปัจฉิมวัย
ปฐมวัย ( พาลทารก ) = เสมหะ จะมีกำลัง12 / มัชฉิมวัย ( พาลปานกลาง = ปิตตะ มีกำลัง 7 / ปัจฉิมวัย ( พาลผู้เฒ่า ) = วาตะ มีกำลัง 10 ***

พาลทารก > ส่วนใหญ่ เด็กน้อย มักจะ เป็น หวัด มีน้ำมูกไหล และ มีไข้ แต่ ส่วนใหญ่ จะมี หวัดก่อน ก็คือ จะมี เสมหะ ออกมาก่อน แล้วค่อยมี ความร้อนเกิดขึ้น ในวัย ปฐมวัย ในช่วง 0 - 8 และ 8 - 16 ปี ในช่วง วัยนี้ จะมี เสมหะ เป็นเจ้าเรือน และ โลหิต แทรก ระคน กับอาโป หรือ ว่า ระคน กับน้ำ แต่หลังจาก ที่ 8 ขวบ ไปแล้ว เสมหะ ยังเป็น เจ้าเรือน แต่ ก็ จะมี เสมหะ มาแทรก * เค้า จะเริ่มมี ไข้ ง่ายขึ้น มีไข้ มาก่อน แล้ว มี น้ำมูก ไหลบ้าง ช่วงนั้น จะ ไม่ค่อยมี น้ำมูก มาก่อน แล้ว ค่อยมีไข้ แต่ จะ กลับเป็น มีไข้ก่อน แล้วค่อยมี น้ำมูก >

พาลปานกลาง > ช่วง 16 - 32 นึกถึง วัยกลางคน จะชอบ ทำงานเยอะ เรียนหนัก สิ่งที่เกิดกับร่างกาย คือ * ปวดศรีษะ จะเป็นไข้ ฉะนั้น อาการ ที่เป็น จึงเป็น สมุฎฐาน ( เตโช พิกัด ดี 2 ส่วน ) ซึ่งมัน ทำให้เกิด อาการ ทางด้าน ปวดศรีษะ หรือ ลมร้อน ตีขึ้น บนได้ โดยมี ( วาโย เจือ 1ส่วน ) อย่างที่ บอกไว้ว่า * ลมร้อน สามารถ ตีขึ้นบนได้ * เมื่อลม และ ความร้อน รวมกันแล้ว จะทำให้ ความร้อนตีขึ้นบนศรีษะ ซึ่ง คนวัยนี้ จะเป็นกันมาก

พาลผู้เฒ่า > 32 - 64 ปี  ถือว่า เป็นวัยชราแล้ว วัยนี้เป็นปัจฉิมวัย สาเหตุ การเกิดโรค จะเป็น วาโย หรือ ลม นั้นเอง สังเกตุว่า วัยนี้ เวลามี อากการ จะเป็นอาการทางลม เป็น ลมง่าย จะมี * ( อาโปแทรก พิกัดเสมหะ เหงื่อ ) คนวัยนี้จะมี * อาการเสลด หางวัว ค่อนข้างเยอะ หากเรารู้ คอนเซป ธรรมชาติ เราจะจำ เรื่อง อายุ สมุฎฐาน ได้

@ ในคัมภีร์เวช จะ แบ่งเป็น * ( 0 - 8 และ  8 - 16 ) ใน ปฐมวัย หรือ พาลทารก แต่ ถ้า สมุฎฐาน วินิจฉัย จะไม่แยก แบบนี้
@ ในเวชศึกษา จะ กำหนด พาลปานกลาง 16 - 32 แต่ ของ สมุฎฐานวินิจฉัย จะ กำหนดเป็น 16 - 30

    1.4 กาลสมุฎฐาน
          - กลางวัน 4 ตอน
          - กลางคืน 4 ตอน
@ แบ่งเป็น กลางวัน กลางคืน 4 ช่วงเวลา ย่อย

กาลสมุฎฐาน
จะ แบ่งเป็น ยาม
ยามละ 3 ชั่วโมง
( ยาม 1 เริ่มจาก 6 โมงเช้า ถึง 9 โมงเช้า สมุฎฐานอาโป พิกัด เสมหะ )
( ยาม 2 เริ่มจาก 9 โมงเช้า ถึง เที่ยง สมุฎฐานอาโป พิกัด โลหิต )
( ยาม 3 เริ่มจาก เที่ยง ถึง บ่าย 3 สมุฎฐานอาโป พิกัด ดี )
( ยาม 4 เริ่มจาก บ่าย 3 ถึง 6 โมงเย็น สมุฎฐาน วาโย )
@ ตั้งแต่ 6 โมงไปจนถึง บ่าย 2 จะเป็น สมุฎฐาน เดียวกัน หมดเลย คือ สมุฎฐาน อาโป แต่ พิกัด จะต่างกัน อย่างตอนเช้า ยาม 1  สังเกตุ ตามธรรมชาติ คือ จะมี เสมหะ เพราะอาการยังเย็น และ ชื้น จึงเป็น สมุฎฐานอาโป พิกัด เสมหะ
ยาม 2 ( 9 โมงเช้า จนถึง เที่ยง ) มันจะเข้าใกล้ ความร้อนแล้ว มัน ก็เลย กลายเป็น พิกัด โลหิต )
ยาม 3 ( เลย เที่ยงไป จนถึงบ่าย 3 ) อันนี้ จะร้อนมากขึ้น ก็จะ เป็น สมุฎฐาน อาโป แต่ พิกัด ดี คือ ร้อนมากขึ้น 
ยาม 4 ( หลังบ่าย 3 ลงไป ก็จะ กลับ เป็น สมุฎฐาน วาโย ) * เวลา ที่เค้า ให้กินยา แก้ลม จะให้ กินตั้งแต่ ช่วง เวลานี้ แต่มันไม่ใช่ ช่วงเวลา ของลม มันแค่ กินดัก เพื่อ รอ ลม เท่านั้น ในเคต ที่ ความดัน โลหิตต่ำ ส่วนใหญ่ จะให้ กินยา ในช่วง เวลานี้ เพื่อ ป้องกัน ตั้งแต่ หลัง บ่าย 2 หรือ บ่าย 3 เป็น ต้นไป

ส่วน กาลกลางคืน ก็จะ คล้ายๆกัน แค่ เปลี่ยน จาก ( ยาม 1 6 โมงเช้า ถึง 9 โมงเช้า เป็น เริ่มที่ 18 นาฬิกา ) ( ยาม 2 เป็น เริ่มที่ 21 นาฬิกา ) ( ยาม 3 เป็น เริ่ม เที่ยงคืน ) ( ยาม 4 ก็เป็น เริ่ม ที่ ตี 3 )

( ส่วน แถม ในคัมภีร์ คือ ประเทศ สมุฎฐาน )
เค้าบอกว่า ที่ตั้ง ที่แรกเกิด ของเรา ก็ เกี่ยวกับ ท้องถิ่น ที่ทำให้เกิดโรคที่ต่างกันไป ซึ่งจะแบ่งเป็น 4 พื้นที่ คือ
1. ที่ สูง : ประเทศร้อน สมุฎฐาน เตโช ( ปิตตะ กำเดา ) เป็น โซน ของภาคเเหนือ เพราะ มีภูเขา ค่อนข้างเยอะ
2. น้ำกรวดทราย : ประเทศอบอุ่น สมุฎฐาน อาโป ( ดี โลหิต ) โซนอีสาน จะมี น้ำกรวดทราย ค่อนข้างเยอะ
3. น้ำฝน เปือกตม : ประเทศเย็น สมุฎฐาน วาโย ( หทัยวาตะ ) ภาคกลาง จัดในประเทศเย็น
4. น้ำเค็ม เปือกตม : ประเทศหนาว สมุฎฐาน ปัถวี ( หทัยวัตถุ ) ฝั่งอ่าวไทย อันดามัน อันนี้จัดเป็น ประเทศ หนาว 

มูลเหตการเกิดโรค ( นึกตามกิจวัตร ประจำวัน )
1. อาหาร
2. อิริยาบท
3. ความร้อน และ เย็น
4. อดนอน อดข้าว อดน้ำ
5. กลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ
6. ทำการเกินกำลังกาย
7. ความเศร้าโศกเสียใจ
8. โทสะ

( 2 ). ( รู้จัก ชื่อ ของโรค )

    2.1 เรียกตามหมอสมมติ คือ อย่างเช่น ไข้หวัดน้อย ไข้กำเดาน้อย ไข้งูตวัด กษัยเสียด กษัยปลาหมอ กษัยปลาดุก  คือ ชื่อเรียก ที่ หมอ สมมุติ ขึ้น

    2.2 เรียก ชื่อโรค ตามธาตุ ทั้ง 4 พิการ
อาจจะระบุ ไปเลยว่า เกศา พิการ
     - ปถวีธาตุ 20 พิการ
     - อาโปธาตุ 12 พิการ
     - วาโยธาตุ 6 พิการ
     - เตโชธาตุ 4 พิการ

    2.3 เรียกตาม เบญจอินทรีย์ 
คือ เรียกตาม อวัยวะ ทั้ง 5 ( โรโค แปลว่า โรค ) 
     - จักขุโรโค = ตา
     - โสตโรโค = หู
     - ฆานโรโค = จมูก  ( อ่านว่า คานะ โรโค )
     - ชิวหาโรโค = ลิ้น
     - กายโรโค = ร่างกาย > จะแตก เป็น 2 แขนงอีก คือ ( พหิทธโรโค / อันตโรโค ) ซึ่ง คนจะ สับสน มากที่สุด ให้จำ ง่ายๆ คือ ( อันตโรโค = in คือ กายภายใน ) ส่วน อีกตัวคือ ( พหิทธโรโค = ก็คือ กายภายนอก นั่นเอง )

( 3 ). ( รู้จักยารักษาโรค )
ยารักษาโรค ยังมีประเด็นว่า หลายคน ยังไม่เข้าใจ ว่า หมอไทยทำ อะไรได้บ้าง จริงๆ หมอไทย ทำได้ตั้งแต่ วินิจฉัยโรค ไปจนถึง จ่ายยา รักษาโรค เนื่องจาก กิจ 4 ประการ ของเรา นั้น มันสั่งให้เรา ทำแบบนั้น ไปโดย ปริยาย อย่าง กิจ ข้อ 3 คือ รู้จัก ยา รักษาโรค
    3.1 รู้จักตัวยา > ( รูป รส กลิ่น สี สรรพคุณ ) > เภสัชวัตถุ
@ จะ ออก สอบมากที่สุด * ใครเตรียมสอบ เวชกรรมไทย กับ เภสัชกรรมไทย พร้อมกัน อย่าสับสน เด็ดขาด ในคัมภีร์เวชกรรมไทย หรือ ในคัมภีร์ เวชศึกษา นั้น เค้าจะพูดถึง ( รูป รส กลิ่น สี สรรพคุณ ) แต่ ในเภสัชกรรมไทย จะพูดถึง ( รูป รส กลิ่น สี ชื่อ ) จำไว้ ว่า เวชศึกษา จะพูดถึง สรรพคุณ เรื่อง ของชื่อ ไม่ค่อยจะ ให้ความสำคัญเท่าไหร่ จะให้ความสำคัญ กับ สรรพคุณ มากกว่า
    3.2 รู้จัก สรรพคุณยา > ( รสยา 3 รส 9 รส ) > สรรพคุณเภสัช คือ รสยา ( ยา 3 รส คือ ยารสประธาน )  ( ยา 9 รส มี ฝาด หวาน เมาเบื่อ ขม เผ็ดร้อน มัน เย็นหอม เค็ม เปรี้ยว แต่ อาจารย์ บางท่าน ให้ บวก รส จืด แต่ บางท่าน ก็บอกว่า รสจืด มันไม่ได้มี อยู่จริง ลองชิม ดีๆ เราจะได้ความรู้สึก ไม่ได้ จืด จริงๆ บางน้ำ บางรส จะมี เค็ม นิดๆ เพราะมี เกลือแร่ ในนั้น อาจารย์บางท่าน จะไม่เอา จืด มาเกี่ยวข้องเลย ก็แล้วแต่ วิจารณ์ญาณ ของหมอ แต่ ในหนังสือ จะ แบ่งเป็น 9 รส

    3.3 รู้จัก พิกัดยา > ( 3 สิ่ง 5 สิ่ง 7 สิ่ง 9 สิ่ง ) > คณาเภสัช เราต้องไปเรียน ละเอียดอีกที ในภาค เภสัช แต่ ใน ทีนี้ อยากให้รู้ เบื้องต้น คือ 3 5 7 9
    3.4 รู้จักวิธีการ ปรุงยา > ( การปรุงยา 28 วิธี ) > เภสัชกรรม

( 4 ) . ( รู้ว่า ยาใด รักษาโรคใด )
เราจะรู้ ได้โดยการ
    4.1 การถาม ซักประวัติ และ ครอบครัว
    4.2 การถาม ซักประวัติ อดีต และ ปัจจุบัน
    4.3 การตรวจร่างกาย และ จิตใจ
    4.4 การตรวจถามอาการ ตรวจผล ค้นหาสาเหตุ และ หาทางแก้ไข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คัมภีร์โรคนิทาน

พระคัมภีร์โรคนิทาน ( อ.ประสิทธิ คงทรัพย์ ) ในพระคัมภี์ พระบรมอรรคธรรม = ความสิ้นอายุ = ธาตุจะขาด หย่อน พิการ หรือ ขาดหายไป แจ้งอยู่ใน ( คั...