วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
คัมภีร์โรคนิทาน
คัมภีร์ธาตุวิภังค์
วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
บทที่ 1 เภสัชกรรม ( ประวัติแพทย์แผนไทย )
บทที่ 1 ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับ เภสัชกรรมไทย
ประวัติ การแพทย์แผนไทย เริ่มมี มาบันทึก ตั้งแต่ สมัยพุทธกาล โดยหมอ ที่ชื่อ หมอชีวก โกมารภัทร์ รักษา พระเจ้าพิมพิสาร ที่ทรงประชวร ด้วย โรคริดสีดวง หมอชีวก ท่านได้ถวายยา รักษา ด้วยการทายา เพียงครั้งเดียว พระเจ้าพิมพิสาร ก็ทรงหายจากโรค ที่เป็น
การแพทย์แผนไทย เริ่ม ตั้งแต่ สมัยพุทธการ
การแพทย์แผนโบราณ ก่อนรัตนโกสินทร์
- ในสมัย พพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีการสร้างสถานพยาบาล ที่เรียกว่า อโรคยาศาลา มีหมอ พยาบาล เภสัชกร รวม 92 คน มีพิธีบวงสรวง พระไภสัชยคุรุไวฑูรย์
พระองค์นี้ ก่อนที่ เราจะนำ อาหาร หรือ ยา ไปให้คนไข้ หมอ พยาบาล ก็จะ เอาตัวยา หรือ อาหาร มาบวงสรวงท่านก่อน จะนำ อาหาร และ ยาไปแจกจ่าย
ในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มักจะถามว่า อโรคยาศาลา สร้างในสมัยใด และ มีพิธีบวงสรวง ใคร ให้จำไว้ พระไภสัชยคุรุไวฑูรย์
- มีการพบ หินบดยา สมัยทวารวดี และ ศิลาจารึก ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในสมัย สุโขทัย ทรงสร้าง สวนสมุนไพร ขนาดใหญ่ บน เขาหลวง หรือ เขาสรรพยา ซึ่งปัจจุบัน ยังคงปรากฏอยู่ ที่ เขตจังหวัด สุโขทัย
- ในสมัย สมเด็จ พระนาราย์หาราช ได้พบ บันทึก การจัดหา ยาที่ชัดเจน สำหรับ ราษฎร มีแหล่งจำหน่าย ยา และ สมุนไพร ทั้งใน และ นอก กำแพงเมือง มีการ รวบตำรา ยา ต่างๆ ขึ้น เป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์ แพทย์แผนโบราณ เรียกว่า ตำรา โอสถพระนารายณ์ การแพทย์แผนโบราณ ในสมัยนี้รุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะ การนวด มี มิชชันนารี ชาวฝรั่งเศส เข้ามาจัดตั้ง โรงพยาบาล แต่ไม่ได้รับความนิม จึงเลิกไป
ปัจจุบัน มีการน นำ ตัวยา หลายตัว จากโอสถพระนารายณ์ มาใช้อยู่ เช่น น้ำยามหาจักร์
ในสมัย สมเด็จ พระนารายณ์ เคยมี คำถาม ออกสอบว่า ตำรา ใดที่ใช้ ในการแพทย์แผนโบราณ ก็จะมี ตำรา โอสถพระนารายณ์ ด้วย
หลังจาก ผ่านพ้น ในช่วง อยุธยา มีการสงคราม จึง ขาดช่วงการบันทึก จนเข้ามา ในสมัย รัตนโกสินทร์
- การแพทย์แผนโบราณ ในสมัย รัตนโกสินทร์
ข้อสอบ ชอบออก ชื่อ ของรัชกาล จะไม่ถาม ว่า รัชกาลที่ เท่าไหร่ แต่จะ ถาม พระนาม เราจำเป็นต้อง จำพระนาม แต่ละ องค์ ให้แม่น
รัชกาล ที่ 1 ท่านทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช
ท่าน เป็นผู้ ปฏิสังขรณ์ วัดโพธิ์ เป็น อาราม หลวง ชื่อว่า วัด พระเชตุพลวิมลมังคลาราม มีการ รวบรวม ตำรายา ฤาษีดัดตน ตำราการนวด ไว้ตามศาลาราย มีการจัดตั้ง กรมหมอ และ โรงพระโอสถ แพทย์ ที่รับราชการ เรียกว่า หมอหลวง ส่วนหมอที่รักษา ราษฎร เรียกว่า หมอราษฏร หรือ หมอเชลยศักดิ์
รัชกาลที่ 2 พระนามว่า สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
มีพระบรมราชโองการ ให้เหล่า ผู้ชำนาญโรค และ สรรคุณยา รวมทั้งผู้ที่ มีตำรายา นำเข้ามาถวาย และ ให้กรมหมอหลวง คัดเลือก ให้จด เป็นตำราหลวง สำหรับ โรงพระโอสถ ในปี พ.ศ. 2359 มีพระบรามราชโองการโปรดเกล้า ให้ตามกฏหมาย ชื่อ กฏหมายพนักงาน พระโอสถถวาย
( ให้ตรากฏหมาย ชื่อว่า กฏหมาย พนักงาน พระโอสถถวาย ) ชอบออกมาก
รัชกาลที่ 3 พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
จัดตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ แห่งแรก คือ โรงเรียนแพทยืแผนโบราณวัดโพธิ์
ท่านให้มีการ รวบรวมตำรา ยาโบราณ นำจารึก ในผนังอุโบสถ ศาลาราย เสา และ กำแพงวิหาร คด รอบเจดีย์ ทรงให้ปั้นรูป ฤาษีดัดตนในท่าต่างๆ
ในสมัยนี้มี การนำเอา แพทย์แผนตะวันตก ชื่อ นายแพทย์แดน บีชบรัดเลย์ เจ้าของ บางกอก เลคอร์ดเดอร์ ได้นำ การ ปลูกฝี ป้องกันไข้ทรพิษ การใช้ยาเม็ด ควินิน รักษาไข้ จับสั่น หรือ มาลาเลีย นี้แหล่ะ เป็นต้น แต่ เราก็อาจจะ ใช้ต้น กาสามปีก รักษา โรค มาลาเลีย ได้เหมือน กัน
( สรุป ในรัชกาลที่ 3 มีการตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ รวมรวมตำราจารึก ปั้นฤาษีดัดตน มี หมอ บรัดเลย์เข้ามา )
รัชกาลที่ 4 พระ บาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จะไม่ค่อยมี อะไรเกี่ยวกับ แพทย์แผนไทย มีแค่ นำแพทย์ แผนตะวันตกมาใช้ มากขึ้น แสดงว่า ฝรั่งเริ่มเข้ามา มีการทำ คลอด ด้วยสูติกรรมสมัยใหม่ แต่ไม่นิยม มีการ ฝ่าตัด หน้าท้อง แต่สมัยโบราณ ก็อาจจะ ไม่นิยมมากนัก
รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว
มีการจัดตั้ง ศิริราชพยาบาล ใน พ.ศ. 2431 มี การเรียนการสอนแพทย์แผนโบราณ และ แผนตะวันตก ร่วมกัน แต่ เป็นไป ด้วยความลำบาก มี การขัดแย้ง ระหว่าง ผู้สอน และ ผู้เรียน เป็นอย่างมาก
และที่สำคัญที่สุดใน รัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ ตำราแพทย์ สำหรับใช้ ในโรงเรียน แพททย์ เป็นครั้งแรก ใน ปี พ.ศ. 2438 โดย พระยาพิษณุ ชื่อ ตำรา แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ได้รับการ ยกย่องให้ เป็นตำรา แห่งชาติ ฉบับแรก
ตำราแห่งชาติ ฉบับแรก คือ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ โดย พระยาพิษณุ
ต่อมา พระยาพิษณุปราสาทเวช คนเดิม เห็นว่า ตำรา เหล่านี้ ยกแก่ผู้ศึกษา จึงได้ พิมพ์ตำราขึ้นใหม่ ได้แก่ ตำราแพทย์ศาสตร์ฉบับหลวง 2 เล่ม และ ตำราแพทย์ศาสตร์สังเขป 3 เล่ม เป็นตำราที่ แพทย์แผนไทย ใช้เป็น หลัก จนถึง ปัจจุบัน
ตำราใหม่ ที่เกิดขึ้น คือ ตำราแพทย์ศาสตร์ ฉบับหลวง 2 เล่ม และ ตำราแพทย์ศาสตร์ สังเขป 3 เล่ม
รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีการสั่งยกเลิกแพทย์แผนโบราณ
ใน รัชกาลที่ 6 เป็น สมัยที่ การแพทย์แผนไทย ความรู้ต่างๆได้หายไป เกือบหมด เพราะมีการ ประกาศใช้ พระราชบัญญาติ การแพทย์ ในปี 2466 ควบคุม การประกอบโรคศิลปะ เพื่อ ป้องกัน การเกิดอันตราย ต่อประชาชน
เนื่องจาก หมอ เมื่อก่อน ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ก็ กลัวความผิด บ้าง ก็ เอาตำรา ไปถวายวัด หรือ พอตายไป ก็เผาตำรา ไปด้วยเลย ก็มี ในการแพทย์แผนไทย เรา ก็จะ สูญหายไปใน รัชกาลที่ 6
สรุป ยกเลิก แพทย์แผนโบราณ และ มี พระราชบัญญัติการแพทย์ ปี 2466
รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว
มีการ ตรากฏหมายเสนาบดี แบ่งการประกอบโรคศิลปะ ออกเป็น 2 ประเภท โดย กำหนดไว้ ดังนี้
1. การแพทย์แผนปัจจุบัน คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยความรู้ จากตำรา อันเป็นหลักวิชา โดยสากลนิยม ซึ่งดำเนิน และ จำเริญขึ้น โดย อาศัย การศึกษา ตรวจค้น และ ทดลองของ ผู้รู้ ในวิทยาศาสตร์ ทั่วโลก
2. แผนโบราณ คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยอาศัย ความสังเกตุ ความชำนาญ อันได้สืบต่อ กันมา เป็นที่ตั้ง หรือ อาศัยตำราอันมีมา แต่โบราณ มิได้ดำเนินไปทาง วิทยาศาสตร์
สองอันนี้ต่ากัน ตรง แผนปัจจุบัน คือ วิทยาศาสตร์ แต่ แผนโบราณ คือ สืบต่อกันมา
สรุป รัชกาล ที่ 7 ใช้ กฏหมายเสนาบดี แบ่ง เป็น แผนปัจจุบัน แผนโบราณ
รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าหัว ภูมิพล อดุลย์เดช
มีการก่อตั้งสมาคม ของ โรงเรียน แพทย์แแผนโบราณ ที่ วัดโพธิ์ ในปี 2500
และ ในปี 2525 ได้ก่อตั้ง โรงเรียน อายุรเวทวิทยาลัย ( ชีวกโกมารภัจจ์ ) ให้การอบรม ด้านการแพทย์แผนโบราณไทย ประยุกต์ จน มาถึง ทุกวันนี้
จรรยาเภสัช 5 ประการ
1. ต้องมีความขยัน หมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน
2. ต้องพิจารณา หาเหตุผล ในการ ปฏิบัติงาน ด้วยความ สะอาด ประณีต ไม่ประมาท ไม่มักง่าย
3. ต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต มีเมตตาจิต แก่ ผู้ใช้ยา ไม่โลภเห็นแก่ ลาภ
4. ต้องมีความละอายต่อบาป ( หิริโอตัปปะ ) ไม่กล่าวเท็จ หรือ กล่าวโอ้อวด
5. ต้องปรึกษาผู้ชำนาญ ไม่ปิบังความ เขลา ของ ตน
หลัก เภสัช 4
หมายความว่า เรา จะเป็น เภสัชได้ เราจะต้อง รู้ อะไรบ้าง
1. เภสัชวัตถุ คือ
รู้จักวัตถุธาตุ นานา ชนิด ที่จะนำมาใช้ เป็นยารักษาโรค และต้องรู้ ลักษณะ พื้นฐานของตัวยาสมุนไพร แต่ละชนิด คือ รู้จัก ชื่อ ลักษณะ สี กลิ่น และ สี
2. สรรพคุณเภสัช คือ
รู้จัก สรรพคุณ ของวัตถุ ที่ จะนำมาใช้เป็น ยา จะต้องรู้ รส ของตัวยา จึงจะ สามารถ รู้ สรรพคุณ ได้ในภายหลัง
3. คณาเภสัช คือ
รู้จักการจัดหมวดหมู่ ตัวยา หลายสิ่ง หลายอย่าง รวมเรียกชื่อ เดียวกัน
คณา ก็คือ คณะ คือ จับ ตัวยา หลายอย่าง มารวมกัน เรียกเป็น ชื่อเดียว
4. เภสัชกรรม คือ
รู้จัก การปรุงยา ผสมเครื่องยา หรือ ตัวยา ตามที่กำหนด ใน ตำรับยา หรือ ตามในใบสั่งยา
สรุป หลักเภสัช 4 มี เภสัชวัตถุ / สรรพคุณยา / คณาเภสัช / เภสัชกรรม
ประวัติยาเบญจกูล
ใน วิชาเภสัชกรรม เรา จะ เชิดชู ยาเบญจกูล มาก เป็นตัวยาที่ใช้ ประจำ ธาตุ 4 ในร่างกายเรา ประกอบไป ด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
แก้ใน กอง สมุฎฐาน ต่างๆ
ฤาษี 6 ต กับตัวยา เบญจกูล ได้แก่
1. บัพพะตัง : ผลดีปลี : อาจระงับ อชินโรคได้ : ธาติดิน ( ปถวีธาตุ )
2. อุทา : รากช้าพลู : อาจระงับ ซึ่ง เมื่อยขบได้ : น้ำ ( อาโปธาตุ )
3. บุพพเทวา : เถาสะค้าน : อาจระงับ เสมหะ และ วาโย ได้ : ลม ( วาโยธาตุ )
4. บุพพรต : รากเจตมูลเพลิง : อาจระงับโรค อันบังเกิด แต่ ดี อันทำให้หนาว และ เย็น ได้ : ไฟ ( เตโชธาตุ )
5. มหิทธิธรรม : เหง้าขิง : อาจระงับ ตรีโทษ : ประจำทวารของร่างกาย : อากาศธาตุ
6. มุรทาธร : เป็น ผู้ประมวล ยา ทั้ง หมด ด้วยกัน : อาจ ระงับโรคอันบังเกด แก่ ( ทวัตติงสาการ ) คือ อาการ 32 ของ ร่างกาย
ยาเบญจกูล
1. ดีปลี ( ฤาษีบัพตัง / ปถวีธาตุ / อาจระงับอชินธาตุ )
2. รากช้าพลู ( ฤาษีอุทา / อาโปธาตุ / อาจระงับ ซึ่ง เมื่อยขบ ได้ )
3. เถาสะค้าน ( ฤาษีบุพเทวา / วาโยธาตุ / อาจระงับเสมหะ และ วาโย ได้ )
4. รากเจตมูลเพลิง ( ฤาษีบุพพรต / เตโชธาตุ / อาจระงับ โรคอันบังเกิด แต่ ดี อันทำให้ หนาว และ เย็น ได้ )
5. เหง้าขิง ( ฤาษีมหิทธิธรรม / อาศธาตุ ประจำ ทวารร่างกาย ( ช่องว่าง ) / ระงับตรีโทษ )
6. รวม ยา ทั้ง 5 เข้าด้วยกัน ( ฤาษีมุรธาธร / อาจระงับ โรคอันบังเกิด แก่ ทวิตติงสาการ คือ อาการ 32 ของ ร่างกาย )
บทที่ 1 เภสัชกรรม ( ประวัติแพทย์แผนไทย )
บทที่ 1 ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับ เภสัชกรรมไทย
ประวัติ การแพทย์แผนไทย เริ่มมี มาบันทึก ตั้งแต่ สมัยพุทธกาล โดยหมอ ที่ชื่อ หมอชีวก โกมารภัทร์ รักษา พระเจ้าพิมพิสาร ที่ทรงประชวร ด้วย โรคริดสีดวง หมอชีวก ท่านได้ถวายยา รักษา ด้วยการทายา เพียงครั้งเดียว พระเจ้าพิมพิสาร ก็ทรงหายจากโรค ที่เป็น
การแพทย์แผนไทย เริ่ม ตั้งแต่ สมัยพุทธการ
การแพทย์แผนโบราณ ก่อนรัตนโกสินทร์
- ในสมัย พพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีการสร้างสถานพยาบาล ที่เรียกว่า อโรคยาศาลา มีหมอ พยาบาล เภสัชกร รวม 92 คน มีพิธีบวงสรวง พระไภสัชยคุรุไวฑูรย์
พระองค์นี้ ก่อนที่ เราจะนำ อาหาร หรือ ยา ไปให้คนไข้ หมอ พยาบาล ก็จะ เอาตัวยา หรือ อาหาร มาบวงสรวงท่านก่อน จะนำ อาหาร และ ยาไปแจกจ่าย
ในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มักจะถามว่า อโรคยาศาลา สร้างในสมัยใด และ มีพิธีบวงสรวง ใคร ให้จำไว้ พระไภสัชยคุรุไวฑูรย์
- มีการพบ หินบดยา สมัยทวารวดี และ ศิลาจารึก ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในสมัย สุโขทัย ทรงสร้าง สวนสมุนไพร ขนาดใหญ่ บน เขาหลวง หรือ เขาสรรพยา ซึ่งปัจจุบัน ยังคงปรากฏอยู่ ที่ เขตจังหวัด สุโขทัย
- ในสมัย สมเด็จ พระนาราย์หาราช ได้พบ บันทึก การจัดหา ยาที่ชัดเจน สำหรับ ราษฎร มีแหล่งจำหน่าย ยา และ สมุนไพร ทั้งใน และ นอก กำแพงเมือง มีการ รวบตำรา ยา ต่างๆ ขึ้น เป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์ แพทย์แผนโบราณ เรียกว่า ตำรา โอสถพระนารายณ์ การแพทย์แผนโบราณ ในสมัยนี้รุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะ การนวด มี มิชชันนารี ชาวฝรั่งเศส เข้ามาจัดตั้ง โรงพยาบาล แต่ไม่ได้รับความนิม จึงเลิกไป
ปัจจุบัน มีการน นำ ตัวยา หลายตัว จากโอสถพระนารายณ์ มาใช้อยู่ เช่น น้ำยามหาจักร์
ในสมัย สมเด็จ พระนารายณ์ เคยมี คำถาม ออกสอบว่า ตำรา ใดที่ใช้ ในการแพทย์แผนโบราณ ก็จะมี ตำรา โอสถพระนารายณ์ ด้วย
หลังจาก ผ่านพ้น ในช่วง อยุธยา มีการสงคราม จึง ขาดช่วงการบันทึก จนเข้ามา ในสมัย รัตนโกสินทร์
- การแพทย์แผนโบราณ ในสมัย รัตนโกสินทร์
ข้อสอบ ชอบออก ชื่อ ของรัชกาล จะไม่ถาม ว่า รัชกาลที่ เท่าไหร่ แต่จะ ถาม พระนาม เราจำเป็นต้อง จำพระนาม แต่ละ องค์ ให้แม่น
รัชกาล ที่ 1 ท่านทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช
ท่าน เป็นผู้ ปฏิสังขรณ์ วัดโพธิ์ เป็น อาราม หลวง ชื่อว่า วัด พระเชตุพลวิมลมังคลาราม มีการ รวบรวม ตำรายา ฤาษีดัดตน ตำราการนวด ไว้ตามศาลาราย มีการจัดตั้ง กรมหมอ และ โรงพระโอสถ แพทย์ ที่รับราชการ เรียกว่า หมอหลวง ส่วนหมอที่รักษา ราษฎร เรียกว่า หมอราษฏร หรือ หมอเชลยศักดิ์
รัชกาลที่ 2 พระนามว่า สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
มีพระบรมราชโองการ ให้เหล่า ผู้ชำนาญโรค และ สรรคุณยา รวมทั้งผู้ที่ มีตำรายา นำเข้ามาถวาย และ ให้กรมหมอหลวง คัดเลือก ให้จด เป็นตำราหลวง สำหรับ โรงพระโอสถ ในปี พ.ศ. 2359 มีพระบรามราชโองการโปรดเกล้า ให้ตามกฏหมาย ชื่อ กฏหมายพนักงาน พระโอสถถวาย
( ให้ตรากฏหมาย ชื่อว่า กฏหมาย พนักงาน พระโอสถถวาย ) ชอบออกมาก
รัชกาลที่ 3 พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
จัดตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ แห่งแรก คือ โรงเรียนแพทยืแผนโบราณวัดโพธิ์
ท่านให้มีการ รวบรวมตำรา ยาโบราณ นำจารึก ในผนังอุโบสถ ศาลาราย เสา และ กำแพงวิหาร คด รอบเจดีย์ ทรงให้ปั้นรูป ฤาษีดัดตนในท่าต่างๆ
ในสมัยนี้มี การนำเอา แพทย์แผนตะวันตก ชื่อ นายแพทย์แดน บีชบรัดเลย์ เจ้าของ บางกอก เลคอร์ดเดอร์ ได้นำ การ ปลูกฝี ป้องกันไข้ทรพิษ การใช้ยาเม็ด ควินิน รักษาไข้ จับสั่น หรือ มาลาเลีย นี้แหล่ะ เป็นต้น แต่ เราก็อาจจะ ใช้ต้น กาสามปีก รักษา โรค มาลาเลีย ได้เหมือน กัน
( สรุป ในรัชกาลที่ 3 มีการตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ รวมรวมตำราจารึก ปั้นฤาษีดัดตน มี หมอ บรัดเลย์เข้ามา )
รัชกาลที่ 4 พระ บาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จะไม่ค่อยมี อะไรเกี่ยวกับ แพทย์แผนไทย มีแค่ นำแพทย์ แผนตะวันตกมาใช้ มากขึ้น แสดงว่า ฝรั่งเริ่มเข้ามา มีการทำ คลอด ด้วยสูติกรรมสมัยใหม่ แต่ไม่นิยม มีการ ฝ่าตัด หน้าท้อง แต่สมัยโบราณ ก็อาจจะ ไม่นิยมมากนัก
รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว
มีการจัดตั้ง ศิริราชพยาบาล ใน พ.ศ. 2431 มี การเรียนการสอนแพทย์แผนโบราณ และ แผนตะวันตก ร่วมกัน แต่ เป็นไป ด้วยความลำบาก มี การขัดแย้ง ระหว่าง ผู้สอน และ ผู้เรียน เป็นอย่างมาก
และที่สำคัญที่สุดใน รัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ ตำราแพทย์ สำหรับใช้ ในโรงเรียน แพททย์ เป็นครั้งแรก ใน ปี พ.ศ. 2438 โดย พระยาพิษณุ ชื่อ ตำรา แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ได้รับการ ยกย่องให้ เป็นตำรา แห่งชาติ ฉบับแรก
ตำราแห่งชาติ ฉบับแรก คือ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ โดย พระยาพิษณุ
ต่อมา พระยาพิษณุปราสาทเวช คนเดิม เห็นว่า ตำรา เหล่านี้ ยกแก่ผู้ศึกษา จึงได้ พิมพ์ตำราขึ้นใหม่ ได้แก่ ตำราแพทย์ศาสตร์ฉบับหลวง 2 เล่ม และ ตำราแพทย์ศาสตร์สังเขป 3 เล่ม เป็นตำราที่ แพทย์แผนไทย ใช้เป็น หลัก จนถึง ปัจจุบัน
ตำราใหม่ ที่เกิดขึ้น คือ ตำราแพทย์ศาสตร์ ฉบับหลวง 2 เล่ม และ ตำราแพทย์ศาสตร์ สังเขป 3 เล่ม
รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีการสั่งยกเลิกแพทย์แผนโบราณ
ใน รัชกาลที่ 6 เป็น สมัยที่ การแพทย์แผนไทย ความรู้ต่างๆได้หายไป เกือบหมด เพราะมีการ ประกาศใช้ พระราชบัญญาติ การแพทย์ ในปี 2466 ควบคุม การประกอบโรคศิลปะ เพื่อ ป้องกัน การเกิดอันตราย ต่อประชาชน
เนื่องจาก หมอ เมื่อก่อน ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ก็ กลัวความผิด บ้าง ก็ เอาตำรา ไปถวายวัด หรือ พอตายไป ก็เผาตำรา ไปด้วยเลย ก็มี ในการแพทย์แผนไทย เรา ก็จะ สูญหายไปใน รัชกาลที่ 6
สรุป ยกเลิก แพทย์แผนโบราณ และ มี พระราชบัญญัติการแพทย์ ปี 2466
รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว
มีการ ตรากฏหมายเสนาบดี แบ่งการประกอบโรคศิลปะ ออกเป็น 2 ประเภท โดย กำหนดไว้ ดังนี้
1. การแพทย์แผนปัจจุบัน คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยความรู้ จากตำรา อันเป็นหลักวิชา โดยสากลนิยม ซึ่งดำเนิน และ จำเริญขึ้น โดย อาศัย การศึกษา ตรวจค้น และ ทดลองของ ผู้รู้ ในวิทยาศาสตร์ ทั่วโลก
2. แผนโบราณ คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยอาศัย ความสังเกตุ ความชำนาญ อันได้สืบต่อ กันมา เป็นที่ตั้ง หรือ อาศัยตำราอันมีมา แต่โบราณ มิได้ดำเนินไปทาง วิทยาศาสตร์
สองอันนี้ต่ากัน ตรง แผนปัจจุบัน คือ วิทยาศาสตร์ แต่ แผนโบราณ คือ สืบต่อกันมา
สรุป รัชกาล ที่ 7 ใช้ กฏหมายเสนาบดี แบ่ง เป็น แผนปัจจุบัน แผนโบราณ
รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าหัว ภูมิพล อดุลย์เดช
มีการก่อตั้งสมาคม ของ โรงเรียน แพทย์แแผนโบราณ ที่ วัดโพธิ์ ในปี 2500
และ ในปี 2525 ได้ก่อตั้ง โรงเรียน อายุรเวทวิทยาลัย ( ชีวกโกมารภัจจ์ ) ให้การอบรม ด้านการแพทย์แผนโบราณไทย ประยุกต์ จน มาถึง ทุกวันนี้
จรรยาเภสัช 5 ประการ
1. ต้องมีความขยัน หมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน
2. ต้องพิจารณา หาเหตุผล ในการ ปฏิบัติงาน ด้วยความ สะอาด ประณีต ไม่ประมาท ไม่มักง่าย
3. ต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต มีเมตตาจิต แก่ ผู้ใช้ยา ไม่โลภเห็นแก่ ลาภ
4. ต้องมีความละอายต่อบาป ( หิริโอตัปปะ ) ไม่กล่าวเท็จ หรือ กล่าวโอ้อวด
5. ต้องปรึกษาผู้ชำนาญ ไม่ปิบังความ เขลา ของ ตน
หลัก เภสัช 4
หมายความว่า เรา จะเป็น เภสัชได้ เราจะต้อง รู้ อะไรบ้าง
1. เภสัชวัตถุ คือ
รู้จักวัตถุธาตุ นานา ชนิด ที่จะนำมาใช้ เป็นยารักษาโรค และต้องรู้ ลักษณะ พื้นฐานของตัวยาสมุนไพร แต่ละชนิด คือ รู้จัก ชื่อ ลักษณะ สี กลิ่น และ สี
2. สรรพคุณเภสัช คือ
รู้จัก สรรพคุณ ของวัตถุ ที่ จะนำมาใช้เป็น ยา จะต้องรู้ รส ของตัวยา จึงจะ สามารถ รู้ สรรพคุณ ได้ในภายหลัง
3. คณาเภสัช คือ
รู้จักการจัดหมวดหมู่ ตัวยา หลายสิ่ง หลายอย่าง รวมเรียกชื่อ เดียวกัน
คณา ก็คือ คณะ คือ จับ ตัวยา หลายอย่าง มารวมกัน เรียกเป็น ชื่อเดียว
4. เภสัชกรรม คือ
รู้จัก การปรุงยา ผสมเครื่องยา หรือ ตัวยา ตามที่กำหนด ใน ตำรับยา หรือ ตามในใบสั่งยา
สรุป หลักเภสัช 4 มี เภสัชวัตถุ / สรรพคุณยา / คณาเภสัช / เภสัชกรรม
ประวัติยาเบญจกูล
ใน วิชาเภสัชกรรม เรา จะ เชิดชู ยาเบญจกูล มาก เป็นตัวยาที่ใช้ ประจำ ธาตุ 4 ในร่างกายเรา ประกอบไป ด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
แก้ใน กอง สมุฎฐาน ต่างๆ
ฤาษี 6 ต กับตัวยา เบญจกูล ได้แก่
1. บัพพะตัง : ผลดีปลี : อาจระงับ อชินโรคได้ : ธาติดิน ( ปถวีธาตุ )
2. อุทา : รากช้าพลู : อาจระงับ ซึ่ง เมื่อยขบได้ : น้ำ ( อาโปธาตุ )
3. บุพพเทวา : เถาสะค้าน : อาจระงับ เสมหะ และ วาโย ได้ : ลม ( วาโยธาตุ )
4. บุพพรต : รากเจตมูลเพลิง : อาจระงับโรค อันบังเกิด แต่ ดี อันทำให้หนาว และ เย็น ได้ : ไฟ ( เตโชธาตุ )
5. มหิทธิธรรม : เหง้าขิง : อาจระงับ ตรีโทษ : ประจำทวารของร่างกาย : อากาศธาตุ
6. มุรทาธร : เป็น ผู้ประมวล ยา ทั้ง หมด ด้วยกัน : อาจ ระงับโรคอันบังเกด แก่ ( ทวัตติงสาการ ) คือ อาการ 32 ของ ร่างกาย
ยาเบญจกูล
1. ดีปลี ( ฤาษีบัพตัง / ปถวีธาตุ / อาจระงับอชินธาตุ )
2. รากช้าพลู ( ฤาษีอุทา / อาโปธาตุ / อาจระงับ ซึ่ง เมื่อยขบ ได้ )
3. เถาสะค้าน ( ฤาษีบุพเทวา / วาโยธาตุ / อาจระงับเสมหะ และ วาโย ได้ )
4. รากเจตมูลเพลิง ( ฤาษีบุพพรต / เตโชธาตุ / อาจระงับ โรคอันบังเกิด แต่ ดี อันทำให้ หนาว และ เย็น ได้ )
5. เหง้าขิง ( ฤาษีมหิทธิธรรม / อาศธาตุ ประจำ ทวารร่างกาย ( ช่องว่าง ) / ระงับตรีโทษ )
6. รวม ยา ทั้ง 5 เข้าด้วยกัน ( ฤาษีมุรธาธร / อาจระงับ โรคอันบังเกิด แก่ ทวิตติงสาการ คือ อาการ 32 ของ ร่างกาย )
คัมภีร์โรคนิทาน
พระคัมภีร์โรคนิทาน ( อ.ประสิทธิ คงทรัพย์ ) ในพระคัมภี์ พระบรมอรรคธรรม = ความสิ้นอายุ = ธาตุจะขาด หย่อน พิการ หรือ ขาดหายไป แจ้งอยู่ใน ( คั...
-
บทที่ 4 เวชกรรม ภาคทฤษฏี ( คัมภีร์ธาตุวิวรณ์ ) ส่วนใหญ่ เป็นเนื้อหา การเกิดไข้ แต่ ไม่ ไข้ อย่างเดียว เหมือน คัมภีร์ตักศิลา จะมีเรื่องไข้ ...
-
คัมภีร์สมุฎฐานวินิจฉัย ( หมอไทยอินดี้ ) ใช้ประกอบการ วินิจฉัยโรค ในแบบ แพทย์แผนไทย คัมภีร์สมุฎฐานวินิจฉัย มาจาก คำ 2 คำ คือ สมุฎฐาน + วิน...