วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

คัมภีร์โรคนิทาน

พระคัมภีร์โรคนิทาน ( อ.ประสิทธิ คงทรัพย์ ) ในพระคัมภี์ พระบรมอรรคธรรม = ความสิ้นอายุ = ธาตุจะขาด หย่อน พิการ หรือ ขาดหายไป แจ้งอยู่ใน ( คัมภีร์มรณะญาณสูตร ) ความมรณะ แบ่งเป็น 2 อย่าง 1. มรณะ ด้วยโบราณโรค 2. มรณะ ด้วยปัจจุบันโรค ความหมาย 1. มรณะด้วย โบราณโรค คือ การตาย โดยปกติ ตาย โดยลำดับขั้น ( ขันธิ์ชวนะ ) ธาตุทั้ง 4 ล่วงไป ตามลำดับ เรียกว่า ( กำหนดสิ้นอายุปริโยสาน ) ⁃ ปถวีธาตุ ขาดไป 19 หทยัง ยังอยู่ ⁃ อาโปธตุ ขาดไป 11 น้ำลาย ยังอยู่ ⁃ วาโยธาตุ ขาดไป 5 ลมหายใจเข้าออก ยังอยู่ ⁃ เตโชธาตุ ขาดไป 3 ไฟอุ่นกาย ยังอยู่ ถ้า ธาตุทั้งหลย สูญสิ้นไป เป็นาการ ตัดทีเดียว รักษา ไม่ได้ หากธาตุ ทั้ง 4 หย่อน แต่ ละสิ่ง 2 สิ่ง ก็ยังรักษา อยู่ได้ ( ถ้าคนเราจะตาย ธาตุที่ จะดับ ไปก่อน ในสิ่งที่ เหลือ ทั้ง 4 อย่าง ไฟ อุ่นกาย จะ ดับเป็น ตัวแรก จะเห็น ได้ว่า จะตัวเย็นชืด แสดงว่า ไฟอุ่นกาย เริ่มดับ ตัวต่อไป ที่จะ ดับไป คือ น้ำลาย คนไข้ จะ คอแห้ง มีเสมหะ จุก คอ อันนี้เป็น ลักษณะ คนใกล้ตาย ธาตุที่ 3 ที่จะดับไป คือ อัสสาสะ ปัสสาสะ คนหายใจ คนใกล้ตาย จะสั้นเข้า จนสุดท้าย ไม่เข้า ไม่ออก นั่นเอง ตัวสุดท้าย คือ หัวใจ ถ้า ดับไป ก็สิ้น มรณะ อันนี้ คือ การตาย ตามแพทย์แผนไทยเรา เรียกว่า มรณะ โดย โบราณโรค ) 2. มรณะด้วยปัจจุบันโรค คือ โอปักกะมิกาพาธ คือ การ ถูกทุบ ถอง โบยตี บอบช้ำ ต้องศาลอาญา ให้ประหารชีวิต ( สังเกตุ ว่า จะต้องเกิดเร็ว ) ( ธาตุ ทั้ง 4 พิการ ตามฤดู ) 1. เตโชธาตุพิการ สันตัปปัคคีพิการ ( เดือน 5 6 7 ) มีอาาร ให้เย็นในอก มักจุกเสด ขัดอก อาหารพลันแหลก มักอยากบ่อย จึงทำให้เกิด ลม 6 จำพวก คือ ⁃ ลมอุตุรันตะ คือ พัดแต่สะดือ ถึง ลำคอ ⁃ ลมปัตตะรันตะ คือ พัดขัดแต่อก ถึงลำคอ ( ทำให้รู้สึก หายใจไม่สะดวก แน่นอยู่ใน ลำคอ ) ⁃ ลมอัสวาตะ คือ ให้ขัดจมูก ( หายใจ ไม่สะดวก ) ⁃ ลมปรามาศ คือให้หายใจขัดอก ( หายใจ แล้ว ขัด อก ) ⁃ ลมอนุวาตะ คือ ให้หายใจขาดไป ( บางครั้ง หายใจ แล้ว มัน หยุด หายใจ ไปเป็น ช่วงๆ ) ⁃ ลมมหาสดมภ์ คือ ลมจับนิ่งไป ( ทำให้ สลบ ไปเลย ) ( พิกัดที่ มัก จะพิการ ของ เตโชธาตุ คือ สันตัปปัคคี หรือ อุณหภูมิ ของร่างกาย ที่ ปกติ อยู่ที่ 37 องศา ถ้ามันจะมี การเปลี่ยนแปลงไป พิการผิดปกติ มักอยู่ใน เดือน 5 6 7 ที่ สันตัปปัคคี จะ พิการ หรือ ผิดปกติ ได้ ) ( อาการ ที่เกิด อาหาร พลันแหลก คือ กินอะไร ไป แป๊บเดียว ก็ย่อย จนหมดแล้ว ไฟธาตุ สูง เมื่ออาหาร พลันแหลก ก็อยาก อาหารบ่อย นั้นคือ ขบวนการ เผาผลาญอาหาร เร็วมาก ) สิ่งที่เกิด เมื่อ สันตัปปัคคี พิการ หรือ ธาตุไฟ พิการ คือ ทำให้ เกิดลม 6 จำพวก ซึ่ง โบราณ เรียกว่า ลม แต่ ในปัจจุบัน มันก็คือ คือ อาการของโรค 6 อาการ แต่ ลม ทั้ง 6 ต้องเกิด จาก ไฟธาตุ สันตัปปัคคี นี้พิการ เสียก่อน 2. วาโยธาตุพิการ ( เดือน 8 9 10 ) มีอาการให้ผอมเหลือง ครั่นตัว เมื่อยทุกข้อ ทุกลำ ให้แดกขึ้น แดกลง ลั่นโครก มักให้หนาวเรอ ให้วิงเวียน หน้าตา หูหนัก ร้อนในอก รันทดรันทวยกาย หายใจสั่น เหม็นปาก หวานปาก ตัวเอง โลหิต ออกทางปาก จมูก กินอาหาร ไม่รู้รส ( เป็น ฤดูที่ 2 ของ ฤดู 4 ) ( อาการ แดกขึ้น แดกลง คือ เดี๋ยวแน่น ไปข้างบน เดี๋ยวแน่น ไปข้างล่าง เปลี่นไปเปลี่ยนมา ) ( ลั่นโครก คือ ท้องร้อง ) ( วิงเวียนหน้าตา คือ ลมกอง ละเอียด ) ( กลุ่มอาการ ปวดเมื่อย ครั่นตัว หรือ ลมครั่นโครก พวกนี้เป็น อาการ ของ ลมกองหยาบ แต่ วิงเวียนหน้าตา หู หนัก ใจสั่น เป็น ลมกองละเอียด เราก็จะเห็นได้ว่า โดยรวม เป็น อาการ ของ ลม ) 3. อาโปธาตุพิกร ( เดือน 11 12 1 ) กินผัก อาหารทั้งปวง ผิดสำแดง ⁃ โลหิต พิการ ( ให้คลั่ง เพ้อพก ให้ร้อน ) ถ้ามันร้อนจัดๆ ก็ ทำให้เป็นบ้าได้ คล้ายๆ กับคน เป็นไข้ ⁃ มันข้น พิการ (มักให้ตัว ชา สากไป ) ⁃ มันเหลว พิการ ( มักให้ บวมมือ บวมเท้า เป็น น้ำเหลืองตก มักให้ ผอมเหลือง ) ⁃ ไขข้อ พิการ ( มักเมื่อย ทุกขน้อ ทุกกระดูก ) ⁃ ดี พิการ ( มักขึ้งโกรธ มักสะดุ้งใจ ) แบ่งเป็น พัทธะปิตตะ อพัทธะปิตตะ ( คัมภีร์ โรคนิทาน นั้น มีความ เก่าแก่ มาก เก่ากว่า เวชศึกษา ซึ่ง สังคยนา ใน สมัยรัชกาลที่ 5 ต่อโบราณ จะพูด ไว้แค่ สั้น จึงทำให้ เรามาเทียบ กับ แผนปัจจุบัน ได้ลำบาก มาก เราจึงทำได้แค่จำไป แต่ เราก็ ไม่สามารถ ที่จะ ฟันธง ลงไปได้ ) ⁃ เสมหะ พิการ ( กินอาหารไม่รู้รส ) ⁃ น้ำตา พิการ ( มักให้ปวดศรีษะ เจ็บตา ) ⁃ น้ำลาย พิการ ( มักให้เป็น ไข้ มักให้ คอแห้ง ฟันแห้ง ) ⁃ มูตร พิการ ( มักให้ ปัสสาวะ แดง ขัดปัสสาวะ ปัสสาวะ เป็น โลหิต ปวดเจ็บ เนื่องๆ ⁃ เหงื่อ พิการ ( มักให้เซื่องซึม ) ⁃ น้ำมูก พิการ ( มักให้ ปวดศรีษะ ) ⁃ น้ำหนอง พิการ ( มักให้หืด ไอ ) 4. ปถวีธาตุพิการ ( เดือน 2 3 4 ) เป็นด้วย นอนผิดเวลา ⁃ ผมพิการ ให้คันศรีษะ มักเป็นรังแค เจ็บหนังศรีษะ เนืองๆ ⁃ ขนพิการ มักให้เจ็บทั่วสรรพางกาย ทุกขุมมขน ขนลุกพองทั้งตัว ⁃ เล็บพิการ เจ็บต้นเล็บ ต้นเล็บเขียว ต้นเล็บดช้ำโลหิต ให้เจ็บๆ เสียวๆ นิ้วมือ นิ้วเท้า ⁃ ฟันพิการ เจ็บไรฟัน เป็น ฝีรำมะนาด โลหิต ไหล ออกทาง ไรฟัน ฟันโยก คลอน ฟันถอนออก ⁃ หนังพิการ ร้อนผิวหนัง ทั่วกาย เป็นผื่น เหมือนผด แสบร้อน อยู่เนือง ⁃ เนื้อพิการ มักให้นอนสะดุ้ง หลับไม่สนิท มักให้ ฟกบวม บาที เป็น วงผุดขึ้น เป็น หัวดำแดง หัวเขียว ทั้งตัว บางที เป็น ดุจลมพิษ สมมุติว่าประดง เหือด หัด ต่างๆ ( จะคล้ายๆ กับ โลหิต ทำใ้ห้ ลักษณะ อาการ ออกมาคล้ายๆกัน เพราะ โลหิต ก็ แทรกอยู่ ในเนื้อ ของ โลหิต ก็จะ เป็น อาการคล้ายๆกัน แต่ถ้า เป็นโลหิต จะเป็น เม็ด เป็น อีดำ อีกแดง ได้เหมือนกัน แต่ ถ้าเป็นเนื้อ จะมี ฟกบวม ด้วย ถ้าเป็น เฉพาะโลหิต จะไม่ ฟกบวม ขึ้นมาด้วย ⁃ เอ็นพิการ มักให้ สะบัดร้อน สะบัดหนาว ให้ปวด ศรีษะ ท่านเรียกว่า ลมอัมฤกษ์ กำเริบ ( ในเส้นเอ็น ของร่างกาย มี 2700 เส้น ) ⁃ กระดูกพิการ เมื่อยขบ ทุกข้อทุกกระดูก ( ปวดในแท่งกระดูก ) ⁃ ไขกระดูกพิการ ทำให้ ปวดศรีษะ อยู่เนืองๆ ⁃ ม้ามพิการ มักให้ม้ามหย่อน ⁃ หทัยพิการ ทำให้คลุ้มคลั่ง ดุจเป็น บ้า ถ้ามิฉะนั้น ให้หิวโหย หาแรงมิได้ ให้ทุรนทุรายยิ่งนัก ( หทัยยัง กับ ปิตตัง จะ มีจุดต่างกันตรงที่ หทยัง จะมี คำว่า หิวโหยหาแรงไม่ได้ ) ⁃ ตับพิการ ตับโต ตับทรุด ฝีในตับ ตับพิการ ⁃ พังผืดพิการ ให้เจ็บให้อาเจียน จุกเสียด กลับเข้าเป็น แรงเพื่อลม ⁃ ไตพิการ มักให้ ปวดท้อง แดกขึ้น แดกลง ปวดขบ อยู่เนืองๆ ( ต่างจาก ไตพิการ ในเวชศึกษา ที่ว่า มัก ท้องพอง อ่อนเพลีย ให้ขัดอก ท้องป่อง อ่อนเพลีย ) ⁃ ปอดพิการ มักให้ปวด เป็นพิษ กระหายนำ้ อยู่เนืองๆ ⁃ ไส้ใหญ่พิการ มักให้ สะอึก ให้หาว เรอ ⁃ ไส้น้อยพิการ มักให้พะอืด พะอม ท้องขึ้น ท้องพอง มักเป็นท้องมาน กระษัย บางที ลงท้อง ตกมูกเลือด ⁃ อาหารใหม่พิการ มักให้ลงท้อง ลงแดง มักให้อาเจียน มักให้เป็น ป่วง 7 จำพวก ( ป่วงคือ อาการกินอาหาร ผิดปกติ ) ⁃ อาหารเก่าพิการ มักกินอาหาร ไม่รู้รส เป็นต้นเหตุ ที่จะทำให้เกิด โรคต่างๆ เพราะ อาหาร แปลกสำแดง ⁃ มันสมองพิกร ให้ปวดศรีษะ ให้ตาแดง ให้คลั่ง เรียก สันนิบาต ต่อกัน กับลม ( เวชศึกษา ปกติ มันสมองพิการ จะเริ่มจำ ไม่ได้ เริ่ม ชรา ) ( คำว่า สันนิบาต ต่อกัน กับลม คือ อาการหนักมาก มี ลมมาแทรก มากระทำ สันนิบาต ก็อาการ หนัก พอแล้ว ยังมี ลมมาแทรก อีก ) 1. ( ลักษณะ เตโชธาตุแตก ) อาการจะ หนักกว่า ธาตุ 4 พิการ 1. ปริณามัคคีแตก ให้ขัดในอก ในใจ ให้บวมมือ บวมเท้า ให้ไอ เป็น มองคร่อ 2. ปริทัยหัคคีแตก มือเท้าเย็น ชีพจร ไม่เดิน บางที ตัวเย็นดุจน้ำ แต่ ภายในร้อน ให้รดน้ำ อยู่ มิได้ขาด บางทีให้ตัวเย็น และ เสโท ตกดุจเมล็ดข้าวโพด ( ปริทัยหัคคี เป็น ไฟ ที่ทำให้ ร้อน ระส่ำระสาย ต้อง อาบน้ำ และ พัด วี ถ้ามันแตก มือเท้า จะ เย็น บางที ตัวเย็น ดุจน้ำ ภายใน ร้อน แต่ นอกเย็น ให้รดน้ำ อยุ่ มิได้ขาด เค้าจะรู้สึกวา ตัวเค้าร้อน อยู่ แต่บางที ก็ เปลี่ยน เป็น ตัวเย็น เหงื่อ ตก มากๆ ก็ยิ่งตัวเย็น เหงื่อ เป็น เม็ด ข้าวโพด ) 3. ชิรนัคคีแตก คือ ความชรา นำพยามัจจุราช มาเล้าโลม สัตว์ทั้งปวง จะให้ชีวิต ออกจากร่างกายนั้น ทำให้ คนไข้ มี กายวิปริต ต่างๆ คือ ให้รู้สึก หน้าผากตึง ตาไม่รู้จักหน้าคน แล้ว กลับ รู้จักอีก การสัมผัส สิ่งใด ก็ไม่รู้สึก แล้ว กลับรู้สึก ( ไฟแห่งความ ชรา เดี๋ยวรู้ เดี๋ว ไม่รู้ เดี๋ยวจำได้ จำไม่ได้ ) 4. สันตัปปัคคีแตก แก้ไม่ได้ตายแล ( แก้ไม่ได้ ตัวอื่น ยังมียาแก้ ) 2. ( ลักษณะ วาโยธาตุแตก ) 1. ลมอุทธังคมาวาตา แตก มักให้ดิ้นรน มือเท้า ขวักไขว่ พริกตัว ไปมา ทุรนทุราย ให้เรอ บ่อยๆ ( ลมพัดขัด ทำให้ มือ ขวักไขว่ ) 2. ลมอโธคมาวาตา แตก ให้ยกมือ ยกเท้า ไม่ได้ เมื่อยขบ ทุกข้อ ทุกกระดูก ให้เจ็บปวด ยิ่งนัก ( ลมพัดลง ก็ กด มือเท้า ให้ยกไม่ขึ้น ) 3. ลมกุจฉิสยาวาตา แตก ให้ท้องขึ้น ท้องลั่น ให้เจ็บอก ให้สวิงสวาย ให้แดกขึ้น แดกลง ( เป็น ลมในท้อง เดี๋ยวดัน ขึ้น บน เดี๋ยว ลงมา ) 4. ลมอังคมังคนุสารีวาตา แตก ให้หูตึง เจรจา ไม่ได้ยิน แล้ว เป้น ดุจหิ่งห้อย ออกจากตา ให้เมื่อยต้้นขา ทั้ง 2 ข้าง ดุจกระดูก แตก ให้ปวด ในกระดูกสันหลัง ให้สะบัดร้อน สะบัดหนาว อาจียน ลม เปล่า กินอาหาร ไม่ได้ ( แสบวาบ ออกจาก ตา เหมือนมีหิ่งห้อย ออกจากตา ) 3. ลมโกฎฐาสยาวาตา แต ให้เหม็นคาวคอ ให้อาเจียน ให้จุกเสียด ให้แดกในอก ( จุดเด่น คือ เหม็นข้าว ) 4. ลมอัสสาสะปัสสาสะ แตก ถ้าสิ้นลมหาายใจ แล้ว ตายเมื่อนั้น ( ไม่มีทางแก้ ) 3. ( ลักษณะ ธาตุน้ำแตก ) 1. ดีแตก ทำให้คนไข้ คลั่งไคล้ ไหลหลง ละเมอเพ้อพก นอนสะดุ้ง หวาดหวั่น บางที ทำให้ ดุจกินยารุ ให้ลง เขียว ลงแดง ลงเหลือง ออกมา ทำให้ หาสติมิได้ ( ถ่ายบ่อย เหมือน ได้ยาถ่ายมา ถ่ายก็ ลงแดง ลงเหลือง ลงดำ สลบ ไม่รู้เรื่อง จะเห็น ได้ว่า ถ่ายมากๆ ก็เสียชีวิต ได้ ) 2. เสมหะแตก ให้จับสะบัดร้อน สะบัดหนาว เป็นเวลา บางที ให้ลงท้อง เป็น เสมหะ เป็น โลหิตเน่า ให้ปวดบวม ( มีผล ทำให้ ถ่าย เป็น เสมหะ ปวด ด้วย ) 3. หนองแตก ทำให้ไหล ออกมา เนืองๆ ให้กาย ซูบผอม กินอาหาร ไม่รู้รส มักเป็น ฝีภายใน 7 ประการ ( เกิดฝี ภายในร่างกาย ก็คือ บุพโพ นั่นเอง ) 4. โลหิตพิการ หรือแตก แพทย์ สมมุติว่า ไข้กำเดา เพราะ โลหิตกำเริบ ถ้าแก ก็เป็นพิษ ต่างๆ ผุดขึ้นมาภายนอก แพทย์สมมุติว่า เป็น( รากสาด ) ข้าวไหม้ใหญ่ ข้าวไหม้น้อย เปลวไฟฟ้า ประกายเพลิง ลำลาบเพลิง ที่เรียกชื่อ ต่างๆ เพราะ โลหิต กระจาย แตกซ่าน ออกผิวเนื้อ ส่วนข้างใน ก็กระทำ พิษ ต่างๆ บางที ให้ อาเจียน เป็น โลหิต บางแล่น เข้าจับหัวใจ ให้คลั่งเพ้อ หาสติมิได้ บางก็ ว่า สันนิบาตโลหิต เป็น เพื่อ โลหิตสมุฎฐา บางให้ชักเท้า หงิกก มือกำ บางที ให้หนาว ให้ร้อน บางที ให้ขัด ปัสสาวะ ให้น้ำปัสสาวะ เป็น สีดำ แดง ขาว เหลือง เป็น ไปต่างๆ (เป็น ไข้ กำเดา ที่ เกิดจาก ความร้อน เพราะ โลหิต นั้น กำเริบ จะทำให้เกิดไข้ แตก เป็นพิษ ต่างๆ มีอาการ ผุด ออกมาจาก ภายนอก ใน คัมภีร์ ตักศิลา โลหิต กับ ผิวเนื้อ เวลาพิการ อาการจะคล้ายๆกัน แต่ถ้า เป็น ผิวเนื้อ จะมีอาการ ฟกบวม ด้วย ส่วนโลหิต จะเป็น ไข้ ตัวร้อน มีเม็ด หรือ ผื่นขึ้น อาการ หนักมาก ความร้อนสูงๆ จะ คลั่งเพ้อ ไม่มีสติ เวลามีไข้สูง จะรู้สึกหัวใจ ก็แย่ ) ( สันนิบาตโลหิต คือ อาการ รุนแรง มาก รวมกัน วาติ ปิตตะ เสมหะ ซึ่งมี สาหตุ มาจาก โลหิต เป็นหลัก เลยเรียก สันบาติ โลหิต ) ( บางที ให้ชัก เดี๋ยว หนาว เดี๋ยวร้อน ปัสสาวะ เป็น สี ดำ แดง ขาว เหลือง จะเห็นได้ว่า เมื่อ โลหิต พิการ จะส่งผล ต่อระบบ ต่างๆ มากมาย ถ้าดูตามหลักวิทยาศาสตร์ เลือด จะไปหล่อเลี้ยงร่างกาย พอ เลือด พิการ ก็ส่งผล ต่อระบบ อื่นๆ ของร่างกายด้วย ) ( จุดเด่น คือ มีไข้ ตัวร้อน คลั่งเพ้อ สลบ ชักได้ ) ( เวลาคนไข้ มาด้วย อาการไข้ เราก็ อาจสรุปได้ว่า คนไข้ คนนี้มี สาเหตุ มาจาก โลหิต พิการ ) * ( ธาตุ ถ้าแตก 2 - 5 อย่าง จะแก้ไม่ได้ ภายใน 2 - 3 วัน แต่ถ้า 1 - 2 อย่าง ให้แก้ ดูก่อน ) โลหิต แตกซ่านออกมาถึงผิวเนื้อ ให้ประกอบยา ที่แก้ไข้ เหนือ > แก้โลหิต ทำภายในให้โลหิตมาก > ให้ประกอบ ยาที่แก้ ลักปิด ( ยาแก้ ลักปิด แก้ โลหิต ที่ ออกมาก ไม่ให้เลือด มันออก ) 5. เหงื่อ ถ้าแตก ให้ตกหนัก ตัวเย็น ขาวซีด ให้สวิงสวาย หากำลังมิได้ ( เวลาแตก จะ แตกเป็น เม็ด ใหญ่ๆ สวิงสวาย หาแรงไม่ได้ เหมือน คน กำลัง จะสลบ ตัวเย็นจัด ชีพจรอ่อน สวิงสวาย ไม่มี เรี่ยวไม่มีแรง โบราณ เรียกว่า เหงื่อ แต่ปัจจุบัน เรียกว่า ช็อค ) 6. น้ำตา ถ้าแตก หรือ พิการ ให้ตามัว นำตาตกหนัก ตาแห้ง ตานั้นเป็น ดุจ เยื่อผลลำไย ( มันแห้ง ไม่มีความ ชุ่มชื้น ก็จะ ออกขาวๆ ขาดน้ำ ) 7. มันเหลว ถ้าแตก กระจายออก ทั่วกาย ทำให้ตาาเหลือง ตัวเหลือง เว้นแต่ อุจจาระ ปัสสาวะ ไม่เหลือง บาที ให้ลงท้อง อาเจียน ดุจ เป็น ป่วงลม เพราะ โทษ น้ำเหลือง ( ตาเหลือง ตัวเหลือง แต่ อุจจาระ ปัสสาวะ ไม่เหลือง แตกต่างจาก พวก อพัทธะปิตตะ พิการ ที่จะ อุจจาระ เหลืองด้วย ) 8. น้ำลาย แตก ให้ปากเปื่อย น้ำลายเหนียว บางที เป็น เม็ดยอด ขึ้น ใน ลิ้นในคอ 9. น้ำมูก พิการ หรือ แตก ให้ปวด ในสมอง ให้นำมูกตก ตามัว ปวดศรีษะ 10. มันข้น พิการ หรือ แตก ดุจโลหิตเสีย ก็เหมือนกัน ซึมซาบ ออกมา ทางผิวหนัง ดุจผด ผุดออกมา เป็น ดวง บางทีแตก เป็น น้ำเหลือง ( จะมี อาการ ผุดขึ้น เป็น ผด ออกมาเป็น ดวง บางที แตก เป็นน้ำเหลือง คล้ายกับ ใน เวชศึกษา เป็น แผ่น เป็นดวง ผุด เป็น น้ำเหลือง ) 11. ไขข้อ ( ลสิกา ) พิการ หรือ แตก ) จะทำให้ เมื่อยในกระดูก ทุกแห่ง ดุจคคราก ออกจากกัน ให้ขัด ให้ตึง ทุกข้อ ( ปวดในข้อ เหมือน กับ ข้อ จะหลุด ) 12. มูตร พิการ หรือ แตก ทำ ปัสสาวะ วิปลาส แดง เหลือง และ เป็น นิ่ว ก็ดี บางที ดุจน้ำ ขาวเช็ด ให้ขัดเบา ให้เจ็บหัวเหน่า เป็นนิ่ว เป็น มุตกิต เป็น สัณฆาต กาฬขึ้น ในมูตร ให้มูตรพิการ แปรไปต่างๆ ( ทำให้ ปัสสาวะพิการ สีผิดปกติ เป็น นิ่ว เป็น มุตกิต สัณฑฆาต บางที ปัสสาวะ ดุจ น้ำข้าวเช็ด ออกขาวๆ ) ( กาฬ ขึ้นในมูตร คือ มีเม็ด ขึ้น ในระบบ ทางเดิน ปัสสาวะ ) ธาตุดินพิการ 1. ผมพิการ เจ็บในสมอง , ผมร่วง 2. ขนพิการ เจ็บทุกขุมขน ทั่วกาย 3. เล็บพิการ ต้นเล็บช้ำ เขียว ดำบางที ให้ฟกบวม เป็นหัวเดือน หัวดาว บางที ให้เจ็บ ขบ ช้ำ เป็นหนอง เจ็บปวด ยิ่งนัก 4. ฟันพิการ หักถอนแล้ว ก็ดี ถ้าเจ็บในไรฟัน ในรากฟัน ในเหงือก ก็ให้แก้ในทาง รำมะนาด 5. หนังพิการ ให้หนังสากชา ถ้ามด หรือ แมลงไต่ หรือ จับ ก็ไม่รู้สึก กายให้แสบร้อน ยิ่งนัก เรียกว่า ( กัมมิโทษ ) คือ โทษที่เกิดแต่ กรรม ( แผนปัจจุบัน อาจจะมองว่า ปลายประสาตเสื่อม ) 6. เนื้อพิการ เนื้อ 500 ชิ้น ถ้าพิการ ให้เสียวไปทั่วตัว มักให้ พาที่นั่น บวม ที่นั่น เป็นพิษ บางที ให้ร้อนดุจไฟบางที ให้ฟกขึ้น ดุจประกายดาษ ประกายเพลิง ( มีเนื้อ 500 ชิ้น แต่ใน แผนปัจจุบัน มี 600 ชิ้น คล้าย กับ ไข้ ที่เกิด กับโลหิต อย่างที่ บอกไปแล้วว่า เนื้อ พิการ ก็จะมี ฟกบวม ส่วนอาการอื่น ความร้อนดุจไฟ ก็คล้ายๆ กับ โลหิตพิการ จริงๆ มีที่มา ใกล้เคียงกัน ) 7. เอ็นพิการ เส้นประธาน 10 มีบริวาร 2700 เส้น ก็หวาดไหว ไปทั่งสิ้น ที่กล้า ก็ กล้า ที่แข็ง ก็แข็ง ที่ตั้งดาน ก็ตั้งดาน ที่ขอด ก็ขอด เข้า เป็นก้อน เป็นเถาไป เป็นเหตุ แต่จะให้โทษหนัก แต่ เส้นอัน ชื่อว่า ( สุมนา ) กับ ( เส้น อัมพฤกษ์ ) ทำเหตุ จะทำให้ ระส่ำระสาย ให้ร้อน ให้เย็น ให้เมื่อย ให้เสียว ไปทุกเส้นเอ็น ทั่วทั้งตัว ตั้งแต่ที่สุดบาทา ขึ้นไปถึง ศรีษะ ทำให้เจ็บเป็นเวลา แต่เส้นอัมพฤกษ์ สิ่งเดียวนั้น ให้โทษ ถึง 11 ประการ ถ้า พร้อมกัน ทั้ง 2700 เส้น แล้วก็ตาย ถ้าเป็น 2 - 3 เส้น ก็ยังพอแก้ได้ ( ในเส้นประธาน 10 ก็พูดถึง ว่ามี บริวาณ 2700 เส้น คลุมอยู่ ทั่วร่างกาย ในคัมภีร์โรค นิทาน ได้กล่าวถึง นหารู 2700 เส้น แต่ ตำรา นวดบางตำรา บอกว่า 72000 เส้น มีความ แตกต่างกัน อย่างมาก จากการบันทึก หรือ อะไร เหมือน ตัวเลข สลับ กันอยู่ ) ( เส้นต่างๆ ก็ หวาดหวั่น คือ ผิดปกติ ไอที่ จะ แข็ง ตึง เป็น ดาน ขอดตึง เป็น ลำ เป็น ก้อน เป็นเถา เถาก็คือ เป็น ลำนั่นเอง แต่เส้นที่ ชื่อ สุมนา กับ อัมพฤษ์ ) ( เส้นอัมพฤกษ์ ทำให้เกิด โทษ มากมาย ถึง 11 ประการ ถ้าเป็น พร้อมกัน 2700 เส้น ตยแนนอน แต่ถ้า เป็นแค่ 2 - 3 เส้น อาจจะใช้ การนวด และ ยาประกอบ ) ( เส้นอัมพฤกษ์ บ่งบอก ว่า กำลัง จะเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต ) 8. กระดูกพิการ มีประมาณ 300 ท่อน ถ้าพิการ โรคนี้จะแก้ยากยิ่งนัก ( คัมภีร์โรคนิทาน พูดถึง กระดูก 300 ท่อน และ เส้น 2700 เส้น เนื้อ 500 ซึ่ง แตกต่าง จากแผนปัจจุบัน พูดไว้ ) ( ถ้ากระดูก พิการ จะแก้ ยากมาก ) 9. เยื่อในกระดูกพิการ ( คัมภีร์ไม่บอกอาการ แต่บอก ยาแก้ เหมือนแก้กระดูก ) 10. ม้ามพิการ / แตก ให้ม้ามหย่อน 11. ดวงหทัย พิการ / แตก กระทำให้เป็น คนจริต ถ้ายังอ่อนอยู่ ให้คุ้มดี คุมร้าย มักขึ้งโกรธ บางที ให้ระส่ำระสาย ให้หิวหากำลังมิได้ ( ถ้า เป็น หัวใจ ให้เน้น ว่า จะ หิวโหย หาแรง หรือ หา กำลังมิได้ ) ( แต่ ถ้า ขึ้งโกรธ คุ้มดี คุ้มร้าย จะ คล้ายกับ ปิตตัง โดยเฉพาะ พัทธปิตตะ พิการ แต่ถ้าเจอ คำว่า หิวโหย หาแรง มิได้ ก็ฟันลงไปที่ หัวใจ ) 12. ตับพิการ / แตก เป็นเพราะโทษ 4 ประการ - ( กาฬผุดขึ้นในตับ ) ทำให้ตับหย่อน ( กาฬ คือ เม็ด ) - ( เป็นฝีในตับ ) ทำให้ ลงเป็น โลหิตสดๆ ออกมา ( มี ฝี มีหนอง ในตับ ) - ( กาฬมูตรผุดขึ้นในตับ ) กระทำให้ ลงเป็นเสมหะ โลหิตเน่า ปวดบวมอยู่เสมอ ให้ ( ตาแดง เป็นสายโลหิต ) คนทั้งปวง สมมุติว่า เป็น กระสือ ปีศาจ เข้าปลอมกิน เพราะ คนไข้ เพ้อ หาสติ มิได้ เจรจา ด้วยผี หมอจะแก้ ยากนัก เป็นด้วย สาเหตุ จริงๆ มาจากปถวีธาตุ แตกเอง ให้ระส่ำระสาย ให้หอบไอ อยู่ เป็น ทิว จะบริโภคอาหาร ก็ไม่ได้ หายใจ ก็ไม่ถึง ท้องน้อย ( อาจจะมีอาการ ถ่าย เป็น เสมหะเน่า ต้องไป ศึกษา เกี่ยวกับ กาฬละมูตร ในคัมภีร์ อื่นอีกที หนึ่ง ) ( เวลา ตับ พิการ หรือ แตก จะมี อาการ * ตาแดง ดุจสายโลหิต คน เห็น จะนึกว่า เป็น กระสือ หรือ ปีศาจ เพราะ คนไข้ จะเพ้อ หาสติไม่ได้ พูด ไปเรื่อย เหมือนคุยกับ ผี สาง ตาแดง ไม่มองใคร ก้มหน้า หมอ ผีก็นึกว่า ผีเข้า ก็ตี กัน จริงๆ เป็นโรค เกี่ยวกับ ตับพิการ 13. พังพืดพิการ / แตก ให้อกแห้ง กระหายน้ำ ริดสีดวงแห้ง นั่นเอง ( เหมือนใน เวชศึกษา ) 14. ไตพิการ / แตก ให้ขัดอก ให้ลงท้อง ท้องขึ้น ท้องพอง ( เหมือนใน เวชศึกษา ) 15. ปอดพิการ / แตก อาการดุจ เป็นไข้ คือ กาฬ ขึ้นในปอด ให้ร้อนอก กระหายน้ำ แล้วหอบ จนโครงลด ให้กินน้ำ จนปอดลอย จึงหายอยาก บางที จนอาเจียน้ำ ออก มาจึงจะหายอยาก ( โครงลด คือ หอบ จน ซี่โครง ยุบไปเลย ถ้า อาการ ปอด จะเกี่ยวกับ กระหายน้ำ มากเลย บางที อาเจียน จน น้ำออกมา จึงหายอยาก บางที ต้องอาเจียน บางที ต้องกินน้ำ ) 16. ไส้ใหญ่พิการ / แตก กินอาหารผิดสำแดง ให้ปวดท้อง ให้ขัดอก บางทีให้ลง ให้อาเจียน คือ " ลมกัมมัชวาต " พัดให้เสมหะ เป็น ดาน กลับ เข้าไปในท้อง ในทรวงอก ( อันตัง ) 17. ไส้น้อยพิการ / แตก ให้วิงเวียนหน้าตา จะลุกยืนขึ้น ให้หาว เรอ ให้จุกเสียด เจ็บเอว ให้เสมหะ ขึ้นคอ ให้ร้อนคอ ร้อนท้องน้อย เป็นลม คลื่นเหียน ให้ตกโลหิต ให้ตกหนอง ( อันตะคุนัง ) 18. อาหารใหม่พิการ / แตก ถ้า บริโภคอาหารเข้าไป อิ่มแล้ว เมื่อใด ก็ทำให้ร้อนท้องยิ่งนัก บางที ให้สะอึก ให้จุกเสียดตามชายโครง ให้พะอืดพะอม คนสมมุติ ว่า ( ธาตุไฟหย่อน ) แต่ ไม่ใช่อย่างนี้ เป็นเพราะ บริโภคอาหาร ที่ ไม่เคย บริโภค เช่น อาหารดิบ หรือ " ลมกุจฉิสยาวาตา " พัดไม่ตลอด ให้เป็น ไปต่างๆ บางที ให้ลง บางที ให้ เป็น พรรดึก แดกขึ้น แดกลง กินอาหาร ไม่ได้ ( พอเรากิน เข้าไป ปริณา มัน หย่อน ก็ ทำให้ เกิดของ เสีย คั่งค้าง ท้องอืดท้องเฟ้อ แต่ ไม่ใช่ เป็นเพราะ ทานอาหาร ที่ไม่เคย บริโภค อาจจะ ทานอาหารดิบ หรือ ลมกุจฉิสยาวาตา มัน พัด ไม่ตลอด ก็เลย เป็นไป ต่างๆ บางที ถ่ายท้อง บางที ท้องผูก แดกขึ้น แดกลง กินอาหาร ไม่ได้ ) ( อาหาร ใหม่ นั้น สำคัญ เวลา กินเข้าไป ใหม่ๆ ต้อง ระวัง ) 19. อาหารเก่า พิการ / แตก ซางขโมย กินลำไส้ เมื่อพ้นกำหนดซางแล้ว คือ " ริดสีดวงคูภทวาร " ( โบราณว่า น่าจะ เกิด ตั้งแต่ ยังเด็ก ซางขโมย มันไปกิน ลำไส้ ทำให้ระบบ ลำไส้ ผิดปกติ พอเป็นผู้ใหญ่ ก็เลย เนป็น ริดสีดวงทวาร ) 20. สมองพิการ / แตก ให้เจ็บศรีษะ ดัง จะแตก ให้ตามืด ให้หูตึง ปาก และ จมูก เฟดขึ้น ลิ้นกระด้าง เดิม เป็น เพราะ สันนิบาต ลมประกัง ถ้ายาใด ๆ ก็แก้ ไม่หาย ( ปากจมูก เฟด คือ มันไม่รับรู้ กลิ่น

คัมภีร์ธาตุวิภังค์

( คัมภีร์ธาตุวิภังค์ ) อ.ประสิทธิ์ คงทรัพย์ คัมภีร์ธาตุวิภังค์ กล่าวถึง สาเหตุการเสียชีวิต ที่เกิดขึ้น กับ แต่ละบุคคล และ อาการที่ เกิดขึ้น เมื่อ ธาตุ ทั้ง 4 พิการ ได้แก่ ธาตุ ทั้ง 4 ขาด เหลือ ธาตุทั้ง 4 พิการตามฤดู และ ยารักษาโรค และ ธาตุ ทั้ง 4 พิการ และ ยารักษาโรค สาเหตุการเสียชีวิต ของ บุคคล 1. บุคคล ตายด้วย ปัจจุบันกรรม และ ปัจจุบันโรค โอปักกะมิกกาพาธ : ถูกทุบถองโบยตี บอบช้ำ หรือ ราชอาญา ของ พระมหากษัตริย์ ให้ประหารชีวิต การตาย ด้วยปัจจุบัน นี้ มิได้ตาย เป็น ปกติ โดยลำดับขั้น ( ขันธชวนะ ) และ ธาตุ ทั้ง 4 มิได้ล่วงไปโดย ลำดับ ตายอย่างนี้ เรียกว่า ( ตายด้วยปัจจุบันกรรม ) ส่วน " ปัจจุบันโรค " เกิดโรคตาย โดยปัจจุบันทันด่วน เช่น อหิวาตกโรค โรคอัน เป็นพิษซึ่งกำเริบขึ้น โดยเร็ว แล้วตายไป ธาตุทั้ง 4 มิได้ขาดไป ตามลำดับ อย่างนี้ เรียกว่า ตายด้วย ปัจจุบันโรค ( จุดแตกต่าง ของ ธาตุวิภังค์ จะ มี ปัจจุบันกรรม เพิ่มขึ้นมา ปัจจุบันรรม คือ ถูกทุบถองโบยตี ไม่ได้ตาย ไปตาม ลำดับ ขั้น แบบ ขันธชวนะ เรียกการตาย ด้วย ปัจจุบันกรรม เหตุที่เกิด ขึ้น ปัจจุบันทันด่วน ) ถ้า การตายโดย โอปักกะมิกพาธ ในความหมาย ของ คัมภีร์โรคนิทาน คือ การตาย ด้วย ปัจจุบันโรค ต่างกัน ส่วน การตาย ด้วย ปัจจุบันโรค ของ คัมภีร์ธาตุวิภังค์ คือ การตายแบบ ปัจจุบันทันด่วนด้วยโรค เช่น อหิวาตกโรค ธาตุทั้ง 4 มิได้ ขาดไป ตามลำดับ ตายอย่าง รวดเร็ว 2. บุคลตายด้วย โบราณกรรม และ โบราณโรค ุบุคคลตายด้วย โบราณกรรม คือ ตายโดยกำหนดสิ้นอายุ เป็น " ปริโยสาน " คือ อายุย่างเข้าสู่ ความชรา ธาตุทั้ง 4 ขาดไปตามลำดับ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ตาย อ่างนี้ เรียกว่า ( ตายด้วย โบราณกรรม ) ส่วนการตาย ด้วย โบราณโรค นั้น เป็นโรค คร่ำคร่า เรื้อรัง มานาน หลายเดือน หลายปี เรียกว่า " โบราณโรค " เวลาจะตาย ธาตุทั้ง 4 ขดไป ตามลำดับ แล้วตายไป เรียกว่า " ตายด้วยโบราณโรค " ( การตายด้วยโบราณกรรม คือการ ตายของ บุคคลที่ ค่อยๆตาย ธาตุ ทั้ง 4 ค่อยๆขาดจากไป เหมือน ผลไม้ ที่ แก่ สุกงอม แล้ว หล่นลงมาเอง บางที ไม่ได้เจ็บป่วย ก็ตายไป เรียกว่า ตายด้วย โบราณกรรม ) ( การตายด้วย โบราณโรค คือ เป็นเรื้อรังมานาน ตายด้วยโรค นั้น เกิดจากโรคก่อน แล้ว ธาตุทั้ง 4 ขาดไป ตามลำดับ ) ( ถ้า โรคทำให้เกิดการตายอย่างรวดเร็ว คือ " ปัจจุบันโรค " แต่ถ้า โรค ทำให้ ตาย อย่าง ช้าๆ เรียก " โบราณโรค " แต่ ถ้า ค่อยเป็น ค่อยไปตายไป โดยไม่ได้ เป็นเพราะ โรค เรียกว่า " โบราณกรรม " ) * คัมภีร์โรคนิทาน มีความ เก่าแก่กว่า ก็จะมี ปัจจุบันโรค กับ โบราณโรค ส่วน คัมภีร์ธาตุวิภังค์ มีมาทีหลัง ก็ จะมี 2 แบบ เหมือนกัน แต่จะ แตกย่อยออกไป แบบ ละ 2 อย่าง ( ว่าด้วยธาตุ ทั้ง 4 ขาดเหลือ ) บุคคลตาย โดยสิ้นกำหนด อายุ เป็น " ปริโยสาน " นั้น ธาตุทั้ง 4 ย่อมขาดสูญ ไปตามลำดับ แต่เมื่อ จะสิ้น อายุ แต่ละ ธาตุขาดเหลือ ดังนี้ 1. ปถวีธาตุ 20 ขาดไป 19 หทยัง ( หัวใจ ) ยังอยู่ 2. อาโปธาตุ 12 ขาดไป 11 ปัตตัง ( น้ำดี ) ยังอยู่ 3. วาโยธาตุ 6 ขาดไป 5 อัสสาสะปัสสาสะวาตา ยังอยู่ 4. เตโชธาตุุ 4 ขาดไป 3 สันตัปปัคคี ยังอยู่ ถ้า ธาตุ ทั้งหลายสูญสิ้น พร้อมกัน ดังกล่าวนี้ ท่านว่า เยียวยาไม่หายหากขาด หรือ หย่อนไป แต่ละสิ่ง สองสิ่ง ยังพอพยาบาลได้ ( ในคัมภีร์โรคนิทาน ก็ พูดเรื่องนี้ ไว้เหมือนกัน ต่างกันที่ ธาตุน้ำ ) ( ธาตุ ทั้ง 4 พิการตาม ฤดู ) ธาตุวิภังค์ แบ่งเป็น 4 ฤดู ฤดูละ 3 เดือน 1. เดือน 5 , 6 , 7 ( เตโชธาตุ สันตัปปัคคีพิการ ) อาการ : ให้เย็นในอก , วิงเวียน , รับประทานอาหาร ไม่ได้ บริโภคอาหารอิ่มมักจุกเสียดขัดในอก อาหาร มักพลันแหลก มิได้อยู่ในท้อง ให้อยากบ่อยๆ จึงเป็น เหตุให้เกิดลม 6 จำพวก ( เหมือนกัน กับ คัมภีร์โรคนิทาน อาการ เช่นเดียว กับ ในโรคนิทาน เกิดจาก ธาตุไฟ สันตัปปัคคี มาก่อน แล้วเกิด ลม 6 กอง ) ลม 6 กอง 1.1 ลมชื่อ อุทรันตะวาตะ - พัดแต่สะดือ ถึงลำคอ 1.2 ลมชื่อ อุระปักขะรันตะวาตะ - พัดให้ขัดแต่ อก ถึง ลำคอ 1.3 ลมชื่อ อัสสาสะวาตะ -พัดให้นาสิกตึง ( จมูกตึง จมูกขัด ) 1.4 ลมชื่อ ปัสสาสะวาตุ - พัดให้หายใจขัดอก ( หายใจแล้ว หายใจไม่เต็มปอด ขัดแน่น ในอก ) 1.5 ลมชื่อ อนุวาตะ - พัดให้หายใจขัด ให้ลมจับแน่นิ่งไป ( ลม ขาดหายไป เป็น ช่วงๆ ) 1.6 ลมชื่อ มหสกะวาตะ - คือ ( ลมมหาสดมภ์ ให้นอนหาวมาก หวั่นไหว หัวใจ ให้นอนแน่นิ่งไป มิรู้สึกกาย ) 2. เดือน 8 , 9 , 10 วาโยธาตุ ให้ผอมเหลือง ให้เมื่อยทุกข้อ ทุกลำตัว ให้แดกขึ้นแดกลง ให้ลั่นโครก ให้หายใจเรอ วิงเวียน หน้าตา หูหน้า มักให้ร้อน ในอกในใจ ให้ระทดระทวย ให้หายใจสั่น ให้เหม็นมาก และ หวานปาก มักให้ โลหิต ออกทาง จมูก ทางปาก กินอาหาร ไม่รู้รส ( อาการ ก็เหมือน วาโยธาตุ พิการ ของ คัมภีร์ โรคนิทาน ) 3. เดือน 11 , 12 , 1 ( อาหารที่กิน มักผิดสำแดง ) อาหารเป็นเหตุ โดยเฉพาะ ใน เดือน 11 , 12 , 1 ธาตุน้ำ พิการ ได้มาก 3.1 ดีพิการ - มักให้ขึ้งโกรธ สะดุ้งตกใจ หวาดกลัว * ( คำว่า ขึ้งโกรธ จะเจอใน หทยัง กับ ดี แต่ สำหรับ หทยัง จะมี หิวโหย หาแรงมิได้ ด้วย ) 3.2 เสมหะพิการ - ให้กินอาหาร ไม่รู้รส 3.3 หนองพิการ - มักให้ ไอ เป็นโลหิต 3.4 โลหิตพิการ - มักให้เพ้อพก ให้ร้อน ( อาจจะเกิด เป็น อีสุกอีไส อีดำ อีแดง ก็ได้ เป็นโรคไข้ต่างๆ) 3.5 เหงื่อพิการ - มักให้ ซูบผอม ให้ผิวหนังสากชา 3.6 มันข้นพิการ - มักให้ปวดศรีษะ ให้ปวดตา ให้ขาสั่น 3.7 น้ำตาพิการ - มักให้ตามัว น้ำตาตก ตาแห้ง ดวงตา เป็น ดั่งเยื่อ ลำไย 3.8 มันเหลวพิการ - ให้แล่นออกทั่วตาย ให้นัยน์ตาเหลือง มูต และ คูถเหลืองบางที ให้ลง อาเจียน 3.9 น้ำลายพิการ - ให้ปากเปื่อย คอเปื่อย บางที ให้เป็น ยอดเป็นเม็ด ในลำคอ บางที เป็นไข้ ให้ปากแห้ง คอแห้ง 3.10 น้ำมูกพิการ - ให้ปวดศรีษะ เป็นหวัด ให้ปวดสมอง น้ำมูกตก นัยน์ตา มัว วิงเวียน ศรีษะ 3.11 ไขข้อพิการ - ให้เมื่อย ทุกข้อ ทุกกระดูก ให้ขัด ตึง ทุกข้อ 3.12 มูตรพิการ - ให้ปัสสาวะแดง ขัดปัสสาวะ เป็น โลหิต เจ็บปวด เป็นกำลัง 4. เดือน 2 , 3 , 4 ( นอนผิดเวลา ปถวีธาตุ พิการ ) * ( คำว่า พิการ ตามฤดู คือ ในช่วง เดือน 2 , 3 , 4 โอกาส ที่ ธาตุดิน จะพิกา ได้สูง โดย เฉพาะ หากมี ปัจจัยเสริม เช่น นอนผิดเวลา ) 4.1 ผมพิการ - ให้เจ็บตามรากผม ให้คันศรีษะ ผมหงอก ผมเป็นรังแค เจ็บหนังศรีษะ 4.2 ขนพิการ - ให้เจ็บทั่วกาย ทุกเส้นขน ให้ขนลุก ขนพอง ทั้งตัว 4.3 เล็บพิการ - ต้นเล็บ เจ็บ เล็บเขียว ช้ำดำ เจ็บเสียวหลายนิ้วมือ นิ้วเท้า 4.4 ฟันพิการ - ให้เจ็บไรฟัน ให้ฟันหลุด ฟันโยกคลอน 4.5 หนังพิการ - ให้ร้อนผิวหนัง ทั่วกาย บางที ให้เป็น ผื่นขึ้น ทั้งตัว ดุจหัวผด ให้ปวดแสบ ปวดร้อน 4.6 เนื้อพิการ - ให้นอนสะดุ้ง ไม่สมปฤดี มักให้ ฟกบวม บางที ให้ผุด ขึ้นเม็ดสีเขียว สีแดง ทั่วทั้งตัว ( ถ้า เนื้อ มักจะมี ฟกบวม และ มีลักษณะ ของ อาการ เกี่ยวกับ โลหิต เช่น เป็นเม็ด ผุด ขึ้นมา ได้เหมือนกัน แต่ จุด สำคัญ คือ มีฟกบวม ) 4.7 เอ็นพิการ - ให้จับสะบัดร้อน สะท้านหนาว ให้ปวดศรีษะ มาก เรียก " อัมพฤกษ์กำเริบ " ( ก่อนจะมี เส้นเลือด แตก ตีบตัน ในสมอง ก็จะมีอาการ ปวดศรีษะมาก บางคน ร้อนๆหนาวๆ ก็อาจจะเทียบได้ กับ อาการ ปัจจุบัน ) 4.8 กระดูกพิการ - ให้เมื่อยในข้อ ในกระดูก 4.9 เยื่อในกระดูกพิการ - ให้ปวดตามแท่งกระดูก เป็นกำลัง ( อัฐธิมิญชัง ) 4.10 ม้ามพิการ - ให้ม้ามหย่อน มักเป็น ป้าง ( คำว่า ป้าง คือ อาการ ของ ม้ามหย่อน ม้ามโต นั่นเอง ) 4.11 หัวใจพิการ - ให้คลั่งไคล้ ดุจเป็นบ้า ถ้ามิฉะนั้น ให้หิวโหยหาแรงมิได้ ให้ทุรนทุราย ยิ่งนัก 4.12 ตับพิการ - ให้ตับโต ตับทรุด เป็น ฝี ในตับ กาฬ ขึ้นในตับ 4.13 พังพืดพิการ - ให้เจ็บ ให้จุก เสียด ให้อาเจียน ให้แดกขึ้น แดกลง 4.14 ไตพิการ - ให้ปวดท้อง แดกขึ้น แดกลง ปวดขัดเป็นกำลัง 4.15 ปอดพิการ - ให้เจ็บปอด ให้ปอด เป็นพิษ ให้กระหายน้ำมาก กินน้ำ จนปอดลอย จึงหายอยาก ( ปอด ให้ดูที่กระหายน้ำ ) 4.16 ลำไส้ใหญ่พิการ - ให้สะอึก ให้หาว ให้เรอ 4.17 ลำไส้น้อยพิการ - ให้พะอืดพะอม ให้ท้องขึ้น ท้องพอง มักเป็น ท้องมาน ลมกระษัย บางที ให้ลงท้อง ตกมูกเลือด เป็นไป ต่างๆ 4.18 อาหารใหม่พิการ - ให้ลงแดง ให้ราก มักเป็น ป่วง 8 จำพวก 4.19 อาหารเก่าพิการ - ให้กินอาหาร ไม่รู้รส เป็นต้นเหตุ ให้เกิดโรค ต่างๆ เพราะ อาหารผิดสำแดง 4.20 มันสมองพิการ - ปกติ สมองศรีษะ พร่อง จากกระบาลศรีษะ ประมาณ เส้นตอกใหญ่ๆ ถ้าเจ็บปวด พิการ มันในสมอง ก็ เดือดขึ้น เต็ม กระบาลศรีษะ ให้ปวด เป็นกำลัง นัยน์ตาแดงคลั่ง เรียกว่า " สันนิบาต " ให้สุมยา รสสุขุม มันสมอง จึงจะ ยุบ และ หายปวด ( มีช่องว่าง ระหว่าง เนื้อ สมอง กับ กระโหลก ช่องว่า มีขนาด หนา ประมาณ เส้นตอก ใหญ่ ถ้าเจ็บปวด มันสมอง จะขยายตัว ไปดัน กระโหลก ศรีษะ ให้ ปวด ตาจะแดงคลั่ง ) ( ว่าด้วย ธาตุ ทั้ง 4 พิการ ) 1. เตโชธาตุ 4 พิการ 1.1 ปริณามัคคี พิการ -อาการให้ร้อนในอก ในใจ ไอเป็น มองคร่อ ท้องขึ้น ท้องพอง พะอืดพะอม ( ไฟย่อย ไม่ทำงาน หรือ ทำงาน น้อย กระบวนการ ย่อยอาหาร ไม่ดี ) 1.2 ปริทัยหัคคี พิการ - อาการให้ มือเท้าเย็น ชีพจรเดินไม่สะดวก อีกประหนึ่ง ให้ชีพจร ขาดหลัก 1 หลัก 2 ก็ดี บางที ให้เย็น เป็น น้ำ แต่ภายใน ให้รดน้ำ มิได้ขาด บางที ให้เย็น แต่ เหงื่อ ตกเป็นดัง เม็ดข้าวโพด ( ไฟระส่ำระสาย มีสภาวะ เหมือนคน กำลัง ช็อค ชีพจรจะเบา แล้ว ขาดเป็น ช่วงๆ ร้อนภายใน บางที เย็นจัด มีเหงื่อตก เป็นเม็ด เท่าเม็ดข้าวโพด ) 1.3 ชิรณัคคี พิการ - ให้หน้าผากตึง นัยน์ตา ดู ไม่รู้จัก อะไร มองไม่เห็น แล้ว กลับเห็น หูตึง แล้ว กลับได้ยิน จมุก ไม่รู้กลิ่น แล้ว กลับรู้ ลิ้นไม่รู้รสอาหาร แล้ว กลับรู้ กายไม่รู้สึก สัมผัส แล้ว กลับรู้ อาการเปลี่ยนไปมา ด้วย พญามัจจุราช มาประเล้าประโลม สัตว์ทั้งหลาย ( ลักษณะคน แก่ เดี๋ยวหูตึง ตามัว เดี๋ยวได้กลิ่น ไม่ได้กลิ่น ) 1.4 สันตัปปัคคี พิการ - ถ้าแตก แล้วเมื่อใด เยียวยา ไม่ได้ เลย ตายเที่ยงแท้ ( แตก เมื่อใด คือตาย ) 2. วาโยธาตุ 6 พิการ / แตก 2.1 อุทธังคมาวาตา พิการ - อาการดิ้นรน มือเท้า ขวักไขว่ ให้พลิกตัว ไปๆ มาๆ ให้ทุรนทุราย หาวเรอบ่อย ( ลมพัดขึ้น มือเท้า ก็เลยยกขึ้น ขวักไขว่ ) 2.2 อโธคมาวาตา พิการ - เมื่อยขบ ขัดทุกข้อ ทุกกระดูก ให้ยกมือ ยกเท้า ไม่ไหว เจ็บปวด เป็นกำลัง ( ลมพัดลง กดไว้ เลยยก ไม่ไหว ) 2.3 กิจฉิสยาวาตา พิการ ( แตก ) - ให้ท้องขึ้น ท้องพอง ให้ลั่น ในท้อง ดังจ๊อกๆ ให้เจ็บในอก ให้สวิงสวาย ให้เจ็บ แดกขึ้น แดกลง ( ลมในท้อง แต่นอกไส้ ลมในท้องเยอะ ) 2.4 โกฎฐาสยาวาตา พิการ ( แตก ) - อาการ เหม็นข้าว อาเจียน จุกอก ให้เสียด และ แน่นหน้าอก ( ลมในไส้ จะมีอาการ เหม็นข้าว ) * จุดแตกต่าง ของ ลมโกฏฐาสยาวาตา กับ ลมกุจฉิสยาวาตา คือ โกฎฐาสยาวาตา จะ เหม็นข้าว เพราะ มันมาจาก ลำไส้ 2.5 ลมอังคมังคานุสารีวาตา พิการ ( แตก ) - อาการให้หูตึง เจรจา ไม่ได้ยิน ให้เป็น หิ่งห้อย ออกจาก ลูกตา ให้เมื่อยมือ และ เท้า ดังกระดูก จะแตก ให้ปวดในกระดูกสันหลัง ดัง เป็นฝี ให้ สะบัดร้อน สะท้านหนาว ให้คลื่นเหียน อาเจียน ลมเปล่า ( หิ่งห้อย ออกจากตา อาการ จะเหมือน ในคัมภีร์โรคนิทาน ) 2.6 อัสสาสะปัสสาสะวาตา พิการ ( แตก ) - จะพิการ หรือ แตกไม่ได้ ลมอันนี้ คือ ลมอันพัด ให้หายใจเข้า ออก ถ้าสิ้นลมหาใจ เข้าออก ลมหายใจขาดแล้ว เมื่อใด ก็ตาย เมื่อนั้น เมื่อใกล้จะตาย ให้หายใจสั้นเข้าๆ จนไม่ออก ไม่เข้า ( ลมนี้ คือ ลม พัดให้หายใจเข้าออก ) 4. ปถวีธาตุ 20 พิการ 4.1 ผมพิการ - ให้เจ็บสมองศรีษะ ให้ชา ให้ผมร่วงหล่น 4.2 ขนพิการ - ให้เจ็บทุกเส้นขนทั่วกาย 4.3 เล็บพิการ - ให้ต้นเล็บ เจ็บช้ำดำเขียว บางที ให้ ฟกบวม คือ เป็น ตะมอย หัวดาว หัวเดือน กลางเดือน บางที ให้เจ็บช้ำ เลือด ช้ำหนอง เจ็บปวด เป็นกำลัง 4.4 ฟันพิการ - ให้เจ็บฟกบวมเป็นกำลัง ถึงฟันหลุด แล้วก็ดี มั เป็นไป ตามประเพณี สังสารวัฎ ให้เจ็บฟัน และ ไร ฟันเหงือก ตลอดสมอง ถ้า ฟันยังมิหลุด มิถอน ก็ให้ แก้ตาม ขบวนการ รำมะนาด นั้นเถิด 4.5 หนังพิการ - ให้หนังชาสากไปทั้งตัว แมลงกัด จับ หรือ ไต่ ก็ ไม่รู้สึ ให้แสบร้อน เป็นกำลัง เรียกว่า " กรรมให้โทษ " 4.6 เนื้อพิการ - เนื้อประมาณ 500 ชิ้น พิการให้เสียวซ่าน ไปทั่วทั้งตัว มักให้ฟกบวม ไม่เป็นที่ ให้เป็นพิษบางที ให้ร้อนดัง ไฟลวก บางที ก็ให้ฟกขึ้น ดังประกายเพลิง ( ฟกบวมขึ้น ดั่งโดนไฟ ) 4.7 เอ็นพิการ - เส้นประมาณ 10 เส้น เส้นบริวาร 2700 เส้นพิการ ให้หวาดหวั่นไหว ไปทั่วกาย ที่กล้า ก็กล้า ที่แข็ง ก็แข็ง ที่ตั้งดาน ก็ตั้งดาน เป็นก้อน เป็นเถาไป ที่จะให้ โษหนักนั้น คือ เส้นสุมนา และ เส้นอัมพฤกษ์ * เส้นสุมนา = ผูกดวงใจ สวิงสวายทุรนทุราย หิวหาแรงมิได้ ( ผูกดวงใจ ควบคุมหัวใจ ผูกรัด ดวงใจ ระบบดวงใจ ของเรา มันทำงาน ไม่สะดวก สวิงสวาย หิวโหย หาแรงมิได้ คล้ายกับ หัวใจ ) * เส้นอัมพฤกษ์ = ให้กระสับกระส่าย ให้ร้อน ให้เย็น ให้เมื่อยเสียว ไปทุกเส้นเอ็นทั้งตัว ตั้งแต่ศรีษะ ตลอด ทั้งตัว ตั้งแต่ ศรีษะ ตลอดถึงเท้า บางที ให้เจ็บ เป็นเวลา 4.8 กระดูก พิการ - กระดูก 300 ท่อนพิการ ก็ดี แตก ก็ดี น้ำมัน ซึ่งจุก อยู่ในข้อนั้น ละลาย ออกมาแล้ว ให้เจ็บปวด กระดูก ดุจดังจะเคลื่อนคลาด ออกจากกัน 4.9 เยื่อในกระดูก พิการ - ให้ปวด ตามแท่งกระดูก 4.10 ม้าม พิการ - ให้ม้ามหย่อน มักเป็น ป้าง 4.11 หัวใจ พิการ - มักให้เป็นบ้า ถ้ายังอ่อนอยู่ ให้คุ้มดีคุ้มร้าย มักขึ้งโกรธ บางที ให้ระส่ำระสาย ให้หิวโหย หาแรง มิได้ ( ขึ้งโกรธ จะเจอ ใน น้ำดี ด้วย ) 4.12 ตับ พิการ - เป็นโทษ 4 ประการ ล่วงเข้า ลักษระ อติสาร คือ กาฬ ผุดในตับ ให้ตับหย่อน ตับทรุด บางที เป็นฝี ในตับ ให้ลง เป็นเลือดสดๆ ออกมา อันนี้คือ กาฬมูตร ผุดขึ้นต้นลิ้น กินอยู่ในตับ ให้ลง เป็น เสมหะโลหิต เท่าปวดมวน เป็นกำลัง ให้ลง วันละ 20 หรือ 30 หน ให้ตาแข็ง ตาแดง เป็น สายเลือด 4.13 พังพืด พิการ - มักให้ อกแห้ง กระหายน้ำ โรคริดสีดวง แห้ง 4.14 ไต พิการ - ให้ขัดอก ท้องพอง ให้แน่นนอก ในท้อง กินอาหาร ไม่ได้ 4.15 ปอด พิการ - อาการ เป็น ดุจดัง ไข้พิษ กาฬขึ้นในปอด ให้ร้อนในอก กระหายน้ำ หอบดุจดัง หอบแดด จนโครงลด ให้กินน้ำ จน ปอดลอย จึงหายอยาก บางที กินจนอาเจียน น้ำออกมา จึงหายอยาก ( ปอดลอย เป็นการ เปรียบเทียบ ว่า กิน จนเต็มปอด ) 4.16 ลำไส้ใหญ่ พิการ - ให้วิงเวียน ลุกขึ้น ให้หาวเรอ ให้ขัดอก และ เสียดสีข้าง ให้เจ็บหลัง เจ็บเอว ให้ไอ เสมหะ ขึ้นคอ ให้ตกเลือด ตกหนอง 4.17 ลำไส้น้อย พิการ - ให้กินอาหาร ผิดสำแดง ให้ปวดท้อง ขัดอก บางที ลงให้ อาเจียน อันนี้คือ " ลมกัมมัชวาต " ขัดเบา แผ่นเสมหะ ให้เป็นดาน กลับเข้า ในท้อง ในทรวงอก ก็ตัดอาหาร ท่านว่า ไส้ตีบ ( ไส้ตีบ คือ กินอะไร ลงไปไม่ได้ ) 4.18 อาการใหม่ พิการ - กินข้าวอิ่ม เมื่อใด มักให้ร้อนท้องนัก บางทีดุจดังกินยารุ บางทีให้สะอึก ขัดหัวอก ให้จุกเสียดตามชายโครง พะอืดพะอม สมมุติว่า ไฟธาตุ นั้นหย่อน โรคนี้ ย่อมให้ โทษ เพราะ อาหาร ไม่ควรกิน นั้น อย่างหนึ่ กินอาหารดิบ อย่างหนึ่ง ลมในท้อง พัดไปตลอด มักให้แปรไปต่างๆ บางที ให้ลงท้อง บางที ผูกเป็น พรรดึก ให้แดกขึ้น แดกลง กินอาหาร ไม่ได้ ( คนที่ มีอาการ เสียดชายโครง มีลมเกิดขึ้น หลังจาก กินอาหารใหม่ เราอาจจะ วินิจฉัยว่า เกิด จากไฟธาตุ ตัวย่อย นั้น หย่อน ก็ได้ ทำให้เกิด ความพิการ จากอาหาร ใหม่พิการ หรือ กินอาหาร ดิบ หรือ อาหาร ย่อยยาก ทำให้ ลมพัด ไม่ตลอด มักทำให้เป็นโรค ต่างๆ เช่น ถ่ายท้อง หรือ ท้องผูก ไม่แน่ ไม่นอน ) 4.19 อาการเก่า พิการ - คือ ซางขโมยกินลำไส้ ถ้าพ้น กำหนดซางแล้ว ถือว่า เป็น ริดสีดวง ( คำว่า ซางขโมย กินลำไส้ หมายความว่า ตอนช่วงเด็ก มีซาง คือ มีโรคเกี่ยวกับ พยาธิ หรือ ขาดสารอาหาร หรือ พยาธิ กินลำไส้ พอพ้น กำหนดซางแล้ว ก็แปร เป็น ริดสีดวง เหมือน มีจุดอ่อน เกิดขึ้นใน ก่อนแล้ว พอโต ก็ เป็นริดสีดวง ) 4.20 มันสมอง พิการ - ให้เจ็บกระบาล ศรีษะ จะแตก ให้ตามัว หูตึง ปาก และ จมูก ชักขึ้น เป็น เฟ็ดไป ลิ้นกระด้าง คางแข็ง ลักษณะ ดังนี้ เดิม เมื่อจะเป็น เพราะ โทษแห่ง " ลมประกัง " ให้ปวดหัว เป็นกำลัง แก้มิฟัง ตาย ( ลมปะกัง ถ้าแก้ ไม่ได้ คือ ตาย ในแผนปัจจุบัน เป็นโรค ที่เกี่ยวกับ เนื้อสมอง ก็ ได้ ) ( ยาแก้ เตโชธาตุ พิการ ) - ในเดือน 5 , 6 , 7 ( กินอาหาร พลันแหลก ทำให้จุกอก รู้สึก อาหาร ไม่อยู่ท้อง )ใช้ ตำรับ ( กาลาธิจร ) ส่วนประกอบ โกฐสอ / โกฐพุงปลา / ดีปลี / หัวแห้วหมู / เปลือกโมกมัน / ผลผักชี / อบเชย / สะค้าน / ขิง / ผลเอ็น / อำพัน ( เสมอภาค ) วิธีทำ - บด เป็นผง ละลายน้ำร้อน / หรือละลาย น้ำผึ้ง กินแก้ เตโชธาตุ พิการ ( ยาแก้ วาโยธาตุพิการ ) - ยา ฤทธิจร ส่วนประกอบ ดีปลี / แฝกหอม / เปราะหอม / พริกไทย / หัวแห้วหมู ว่านน้ำ / สิ่งละ 1 ส่วน ( รากกระเทียม 6 ส่วน ) หรือจะเรียกว่า ประสะ รากกระเทียม ก็ได้ เท่าจำนวนยาทั้งหมด วิธีทำ บดเป็นผง ละลายน้ำร้อน หรือ น้ำผึ้ง กิน ( ยาแก้ อาโปธาตุพิการ ) รากเจตมูลเพลิง / โกศสอ / ลูกผักชี / ขิงแห้ง / ดีปลี / ลูกมะตูมอ่อน สะค้าน / หัวแห้วหมู / ลูกพิลังกาสา / รากคัดเค้า / เปลือกโมกมัน / สมุลแว้ง / กกลังกา / ดอกพิกุล / ดอกบุนนาค / ดอกสารภี / เกสรบัวหลวง / รากขัดมอญ ( เสมอภาค ) วิธีทำ ต้มน้ำ 3 เอา 1 กินแก้ อาโปธาตุ หายแล ( ยาแก้ปถวีธาตุุ พิการ ) - ( สมอง / กระดูก / ม้าม ) หรือ จะเรียกว่า ตรีชวาสังข์ สิ่งละ 1 ส่วน = กระเทียม / ใบสะเดา / ใบคนทีสอ / เปลือกตีนเป็ด / เบญจกูล สิ่งละ 2 ส่วน = ลูกจันทน์ / ดอกจันทน์ / กระวาน / กานพลู / ตรีกฏก / กรันเกรา ( จันทน์ ทั้ง 2 หนึ่งส่วน ) ( สมอทั้ง 3 หนึ่งส่วน ) ( สมุลแว้ง สามส่วน ) ( ยาแก้หัวใจพิการ ชื่อ มูลจิตใหญ่ ) ่ส่วนประกอบ ผลคนทีสอ / ใบสหัสคุณ / ผลตะลิงปลิง / จันทน์ทั้ง 2 / ดีปลี เทียนข้าวเปลือก / เทียนตาตั๊กแตน / เทพทาโร ( เสมอภาค ) บดเป็นผง ละลายน้ำ ( เปรียบเทียบ คัมภีร์โรคนิทาน กับ คัมภร์ธาตุวิภังค์ ) โรคนิทาน ความมรณะ แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ 1. มรณะด้วย โบราณโรค 2. มรณะด้วย ปัจจุบันโรค ส่วน คัมภีร์ธาตุวิภังค์ การตายของ บุคคล แบ่งออกเป็น 1. ตายด้วยปัจจุบันกรรม และ ปัจจุบันโรค 2. ตายด้วย โบราณกรรม และ โบราณโรค คัมภีร์โรคนิทาน จะกล่าวถึง ธาตุ 4 พิการตามฤดู คือ 1. เตโชธาตุพิการ ( สันตัปปัคคี พิการ ) เดือน 5 , 6 , 7 ทำให้เกิดลม 6 จำพวก ส่วน คัมภีร์ธาตุวิภังค์ ก็ กล่าวถึง ธาตุ 4 พิการ เดือน 5 , 6 , 7 เหมือนกัน เตโชธาตุ สันตัปปัคคี พิการ เกิดลม 6 จำพวก เหมือนกัน แต่ ชื่อ ของ ลม ต่างกัน คัมภีร์โรคนิทาน จะกล่าวถึง ธาตุ 4 พิการ ตามฤดู - วาโยธาตุพิการ ในเดือน 8 , 9 , 10 - อาโปธาตุพิการ ในเดือน 11 , 12 , 1 ( กินผัก และ อาหารผิดสำแดง - ปถวีธาตุ พิการ 2 , 3 , 4 ( เป็น ด้วยนอน ผิดเวลา ) ส่วนคัมภีร์ธาตุวิภังค์ - เดือน 8 , 9 , 10 เกิดวาโยธาตุพิการ - เดือน 11 , 12 , 1 เกิดอาโปธาตุพิการ ( อาหารที่กิน มักผิดสำแดง - เดือน 2 , 3 , 4 ปัถวีธาตุพิการ ( นอนผิดเวลา ) ซึ่ง ทั้ง 2 คัมภีร์ ก็จะ พูดถึง ธาตุ 4 พิการ ตามฤดู เหมือนกัน จุดแตกต่าง ของ โรคนิทาน และ ธาตุวิภังค์ คือ ธาตุสุดท้าย ที่ ค่อยๆหายไป คือ โรคนิทาน อาโปธาตุสุดท้าย จะเป็น เขโฬ น้ำลาย แต่ ธาตุวิภังค์ น้ำสุดท้าย คือ ปิตตัง คัมภีร์โรคนิทาน กล่าวถึง ธาตุทั้ง 4 แตก - เตโชธาตุแตก - วาโยธาตุแตก - อาโปธาตุแตก - ปถวีธาตุพิการ แต่ จะไม่ได้ กล่าวถึง ยาแก้ ส่วน คัมภีร์ธาตุวิภังค์ ว่า ด้วยธาตุ ทั้ง 4 พิการ - เตโชธาตุ 4 พิการ - วาโยธาตุ 6 พิการ - อาโปธาตุ 12 พิการ - ปถวีธาตุ 20 พิการ คัมภีร์ธาตุวิภังค์ จะ พูดถึง ธาตุ ทั้ง 4 พิการ แต่ละ ธาตุย่อย นั้น พิการอย่างไร และ กล่าวถึง ยาแก้ ไว้ - ยาแก้เตโชธาตุพิการ ( ยากาลาธิจร ) - ยาแก้วาโยธาตุพิการ ( ยาฤทธิ์จร ) - ยาแก้อาโปธาตุพิการ ( ยาแก้อาโปธาตุพิการ ) - ยาแก้ปถวีธาตุพิการ ( ยาแก้ปถวีธาตุพิการ ที่เรียกว่า ตรีชวาสังข์ ) - ยาแก้หัวใจพิการ ( ยามูลจิตใหญ่ ) ***ถ้าเรามาดู ส่วนที่ต่างกัน ถ้า เป็น โบราณโรค ตามความหมาย ของ โรคนิทาน คือ การตาย ตามลำดับขั้น ขันธ์ชวนะ คือ ธาตุทั้ง 4 ล่วงไปตามลำดับ แต่ * คัมภีร์ธาตุวิภังค์ คำว่า โบราณโรค มีความหมายว่า โรคที่ ค่อยๆทำให้ตาย ( โรคเรื้อรัง ) จุดต่าง อีกจุด คือ คัมภีร์โรคนิทาน * มรณะ ด้วยปัจจุุบันโรค ( โอปักกะมิกพาธ ) ถูกทุบถอง โบยตี บอบช้ำ หรือ ต้องราชอาญา ของพระมหากษตริย์ ให้ประหาร ด้วย หอก ดาบ ปืนไฟ ตาย แต่ คัมภีร์ธาตุวิภังค์ * ตายด้วย ปัจจุบันโรค คือ ตายด้วยโรค แบบ ปัจจุบันทันด่วน เช่น อหิวาตกโรค / โรคอันเป็นพิษ คัมภีร์ธาตุวิภังค์ * ตายโดย กำหนดสิ้นอายุ เป็น ( ปริโยสาน ) ธาตุทั้ง 4 ขาดไปตามลำดับ ตายแบบ คือ เอง ไม่มีโรคใด มา ทำให้ตาย ไม่มีการกระทำให้ให้ตายา แต่ ( ปัจจุบันกรรม ) โอปักกะมิกะพาธ คือ ถูกทุบถองโบยตี บอบช้ำ หรือ ต้องราชอาญา พระมหากษตริย์ ให้ประหารชีวิต ( ตายแบบ ถูกทำให้ตาย ) เกิดทันที คัมภีร์ธาตุวิภังค์ จะละเอียดกว่า เพราะ มีมาทีหลัง

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

บทที่ 1 เภสัชกรรม ( ประวัติแพทย์แผนไทย )


บทที่ 1 ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับ เภสัชกรรมไทย

ประวัติ การแพทย์แผนไทย เริ่มมี มาบันทึก ตั้งแต่ สมัยพุทธกาล โดยหมอ ที่ชื่อ หมอชีวก โกมารภัทร์ รักษา พระเจ้าพิมพิสาร ที่ทรงประชวร ด้วย โรคริดสีดวง หมอชีวก ท่านได้ถวายยา รักษา ด้วยการทายา เพียงครั้งเดียว พระเจ้าพิมพิสาร ก็ทรงหายจากโรค ที่เป็น

การแพทย์แผนไทย เริ่ม ตั้งแต่ สมัยพุทธการ

การแพทย์แผนโบราณ ก่อนรัตนโกสินทร์
- ในสมัย พพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีการสร้างสถานพยาบาล ที่เรียกว่า อโรคยาศาลา มีหมอ พยาบาล เภสัชกร รวม 92 คน มีพิธีบวงสรวง พระไภสัชยคุรุไวฑูรย์

พระองค์นี้ ก่อนที่ เราจะนำ อาหาร หรือ ยา ไปให้คนไข้ หมอ พยาบาล ก็จะ เอาตัวยา หรือ อาหาร มาบวงสรวงท่านก่อน จะนำ อาหาร และ ยาไปแจกจ่าย

ในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มักจะถามว่า อโรคยาศาลา สร้างในสมัยใด และ มีพิธีบวงสรวง ใคร ให้จำไว้ พระไภสัชยคุรุไวฑูรย์

- มีการพบ หินบดยา สมัยทวารวดี และ ศิลาจารึก ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในสมัย สุโขทัย ทรงสร้าง สวนสมุนไพร ขนาดใหญ่ บน เขาหลวง หรือ เขาสรรพยา ซึ่งปัจจุบัน ยังคงปรากฏอยู่ ที่ เขตจังหวัด สุโขทัย

- ในสมัย สมเด็จ พระนาราย์หาราช ได้พบ บันทึก การจัดหา ยาที่ชัดเจน สำหรับ ราษฎร มีแหล่งจำหน่าย ยา และ สมุนไพร ทั้งใน และ นอก กำแพงเมือง มีการ รวบตำรา ยา ต่างๆ ขึ้น เป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์ แพทย์แผนโบราณ เรียกว่า ตำรา โอสถพระนารายณ์ การแพทย์แผนโบราณ ในสมัยนี้รุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะ การนวด มี มิชชันนารี ชาวฝรั่งเศส เข้ามาจัดตั้ง โรงพยาบาล แต่ไม่ได้รับความนิม จึงเลิกไป
ปัจจุบัน มีการน นำ ตัวยา หลายตัว จากโอสถพระนารายณ์ มาใช้อยู่ เช่น น้ำยามหาจักร์

ในสมัย สมเด็จ พระนารายณ์ เคยมี คำถาม ออกสอบว่า ตำรา ใดที่ใช้ ในการแพทย์แผนโบราณ ก็จะมี ตำรา โอสถพระนารายณ์ ด้วย

หลังจาก ผ่านพ้น ในช่วง อยุธยา มีการสงคราม จึง ขาดช่วงการบันทึก จนเข้ามา ในสมัย รัตนโกสินทร์

- การแพทย์แผนโบราณ ในสมัย รัตนโกสินทร์
ข้อสอบ ชอบออก ชื่อ ของรัชกาล จะไม่ถาม ว่า รัชกาลที่ เท่าไหร่ แต่จะ ถาม พระนาม เราจำเป็นต้อง จำพระนาม แต่ละ องค์ ให้แม่น

รัชกาล ที่ 1 ท่านทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช
ท่าน เป็นผู้ ปฏิสังขรณ์ วัดโพธิ์ เป็น อาราม หลวง ชื่อว่า วัด พระเชตุพลวิมลมังคลาราม มีการ รวบรวม ตำรายา ฤาษีดัดตน ตำราการนวด ไว้ตามศาลาราย มีการจัดตั้ง กรมหมอ และ โรงพระโอสถ แพทย์ ที่รับราชการ เรียกว่า หมอหลวง ส่วนหมอที่รักษา ราษฎร เรียกว่า หมอราษฏร หรือ หมอเชลยศักดิ์

รัชกาลที่ 2 พระนามว่า สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
มีพระบรมราชโองการ ให้เหล่า ผู้ชำนาญโรค และ สรรคุณยา รวมทั้งผู้ที่ มีตำรายา นำเข้ามาถวาย และ ให้กรมหมอหลวง คัดเลือก ให้จด เป็นตำราหลวง สำหรับ โรงพระโอสถ ในปี พ.ศ. 2359 มีพระบรามราชโองการโปรดเกล้า ให้ตามกฏหมาย ชื่อ กฏหมายพนักงาน พระโอสถถวาย
( ให้ตรากฏหมาย ชื่อว่า กฏหมาย พนักงาน พระโอสถถวาย ) ชอบออกมาก 

รัชกาลที่ 3 พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
จัดตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ แห่งแรก คือ โรงเรียนแพทยืแผนโบราณวัดโพธิ์
ท่านให้มีการ รวบรวมตำรา ยาโบราณ นำจารึก ในผนังอุโบสถ ศาลาราย เสา และ กำแพงวิหาร คด รอบเจดีย์ ทรงให้ปั้นรูป ฤาษีดัดตนในท่าต่างๆ
ในสมัยนี้มี การนำเอา แพทย์แผนตะวันตก ชื่อ นายแพทย์แดน บีชบรัดเลย์ เจ้าของ บางกอก เลคอร์ดเดอร์ ได้นำ การ ปลูกฝี ป้องกันไข้ทรพิษ การใช้ยาเม็ด ควินิน รักษาไข้ จับสั่น หรือ มาลาเลีย นี้แหล่ะ เป็นต้น แต่ เราก็อาจจะ ใช้ต้น กาสามปีก รักษา โรค มาลาเลีย ได้เหมือน กัน
( สรุป ในรัชกาลที่ 3 มีการตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ รวมรวมตำราจารึก ปั้นฤาษีดัดตน มี หมอ บรัดเลย์เข้ามา )

รัชกาลที่ 4 พระ บาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จะไม่ค่อยมี อะไรเกี่ยวกับ แพทย์แผนไทย มีแค่ นำแพทย์ แผนตะวันตกมาใช้ มากขึ้น แสดงว่า ฝรั่งเริ่มเข้ามา มีการทำ คลอด ด้วยสูติกรรมสมัยใหม่ แต่ไม่นิยม มีการ ฝ่าตัด หน้าท้อง แต่สมัยโบราณ ก็อาจจะ ไม่นิยมมากนัก

รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว
มีการจัดตั้ง ศิริราชพยาบาล ใน พ.ศ. 2431 มี การเรียนการสอนแพทย์แผนโบราณ และ แผนตะวันตก ร่วมกัน แต่ เป็นไป ด้วยความลำบาก มี การขัดแย้ง ระหว่าง ผู้สอน และ ผู้เรียน เป็นอย่างมาก 

และที่สำคัญที่สุดใน รัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ ตำราแพทย์ สำหรับใช้ ในโรงเรียน แพททย์ เป็นครั้งแรก ใน ปี พ.ศ. 2438 โดย พระยาพิษณุ ชื่อ ตำรา แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ได้รับการ ยกย่องให้ เป็นตำรา แห่งชาติ ฉบับแรก

ตำราแห่งชาติ ฉบับแรก คือ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ โดย พระยาพิษณุ

ต่อมา พระยาพิษณุปราสาทเวช คนเดิม  เห็นว่า ตำรา เหล่านี้ ยกแก่ผู้ศึกษา จึงได้ พิมพ์ตำราขึ้นใหม่ ได้แก่ ตำราแพทย์ศาสตร์ฉบับหลวง 2 เล่ม และ ตำราแพทย์ศาสตร์สังเขป 3 เล่ม เป็นตำราที่ แพทย์แผนไทย ใช้เป็น หลัก จนถึง ปัจจุบัน 

ตำราใหม่ ที่เกิดขึ้น คือ ตำราแพทย์ศาสตร์ ฉบับหลวง 2 เล่ม และ ตำราแพทย์ศาสตร์ สังเขป 3 เล่ม

รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีการสั่งยกเลิกแพทย์แผนโบราณ
ใน รัชกาลที่ 6 เป็น สมัยที่ การแพทย์แผนไทย ความรู้ต่างๆได้หายไป เกือบหมด เพราะมีการ ประกาศใช้ พระราชบัญญาติ การแพทย์ ในปี  2466 ควบคุม การประกอบโรคศิลปะ เพื่อ ป้องกัน การเกิดอันตราย ต่อประชาชน
เนื่องจาก หมอ เมื่อก่อน ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ก็ กลัวความผิด บ้าง ก็ เอาตำรา ไปถวายวัด หรือ พอตายไป ก็เผาตำรา ไปด้วยเลย ก็มี ในการแพทย์แผนไทย เรา ก็จะ สูญหายไปใน รัชกาลที่ 6

สรุป ยกเลิก แพทย์แผนโบราณ และ มี พระราชบัญญัติการแพทย์ ปี 2466

รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว
มีการ ตรากฏหมายเสนาบดี แบ่งการประกอบโรคศิลปะ ออกเป็น 2 ประเภท โดย กำหนดไว้ ดังนี้
1. การแพทย์แผนปัจจุบัน คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยความรู้ จากตำรา อันเป็นหลักวิชา โดยสากลนิยม ซึ่งดำเนิน และ จำเริญขึ้น โดย อาศัย การศึกษา ตรวจค้น และ ทดลองของ ผู้รู้ ในวิทยาศาสตร์ ทั่วโลก
2. แผนโบราณ คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยอาศัย ความสังเกตุ ความชำนาญ อันได้สืบต่อ กันมา เป็นที่ตั้ง หรือ อาศัยตำราอันมีมา แต่โบราณ  มิได้ดำเนินไปทาง วิทยาศาสตร์ 

สองอันนี้ต่ากัน ตรง แผนปัจจุบัน คือ วิทยาศาสตร์ แต่ แผนโบราณ คือ สืบต่อกันมา

สรุป รัชกาล ที่ 7 ใช้ กฏหมายเสนาบดี แบ่ง เป็น แผนปัจจุบัน แผนโบราณ

รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าหัว ภูมิพล อดุลย์เดช
มีการก่อตั้งสมาคม ของ โรงเรียน แพทย์แแผนโบราณ ที่ วัดโพธิ์ ในปี 2500
และ ในปี 2525 ได้ก่อตั้ง โรงเรียน อายุรเวทวิทยาลัย ( ชีวกโกมารภัจจ์ ) ให้การอบรม ด้านการแพทย์แผนโบราณไทย ประยุกต์ จน มาถึง ทุกวันนี้

                        จรรยาเภสัช 5 ประการ
1. ต้องมีความขยัน หมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน
2. ต้องพิจารณา หาเหตุผล ในการ ปฏิบัติงาน ด้วยความ สะอาด ประณีต ไม่ประมาท ไม่มักง่าย
3. ต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต มีเมตตาจิต แก่ ผู้ใช้ยา ไม่โลภเห็นแก่ ลาภ
4. ต้องมีความละอายต่อบาป ( หิริโอตัปปะ ) ไม่กล่าวเท็จ หรือ กล่าวโอ้อวด
5. ต้องปรึกษาผู้ชำนาญ ไม่ปิบังความ เขลา ของ ตน

                        หลัก เภสัช 4
หมายความว่า เรา จะเป็น เภสัชได้ เราจะต้อง รู้ อะไรบ้าง

1. เภสัชวัตถุ คือ
รู้จักวัตถุธาตุ นานา ชนิด ที่จะนำมาใช้ เป็นยารักษาโรค และต้องรู้ ลักษณะ พื้นฐานของตัวยาสมุนไพร แต่ละชนิด คือ รู้จัก ชื่อ ลักษณะ สี กลิ่น และ สี

2. สรรพคุณเภสัช คือ
รู้จัก สรรพคุณ ของวัตถุ ที่ จะนำมาใช้เป็น ยา จะต้องรู้ รส ของตัวยา จึงจะ สามารถ รู้ สรรพคุณ ได้ในภายหลัง 

3. คณาเภสัช คือ
รู้จักการจัดหมวดหมู่ ตัวยา หลายสิ่ง หลายอย่าง รวมเรียกชื่อ เดียวกัน
คณา ก็คือ คณะ คือ จับ ตัวยา หลายอย่าง มารวมกัน เรียกเป็น ชื่อเดียว

4. เภสัชกรรม คือ
รู้จัก การปรุงยา ผสมเครื่องยา หรือ ตัวยา ตามที่กำหนด ใน ตำรับยา หรือ ตามในใบสั่งยา

สรุป หลักเภสัช 4 มี เภสัชวัตถุ / สรรพคุณยา / คณาเภสัช / เภสัชกรรม

                             ประวัติยาเบญจกูล

ใน วิชาเภสัชกรรม เรา จะ เชิดชู ยาเบญจกูล มาก เป็นตัวยาที่ใช้ ประจำ ธาตุ 4 ในร่างกายเรา ประกอบไป ด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ

แก้ใน กอง สมุฎฐาน ต่างๆ

ฤาษี 6 ต กับตัวยา เบญจกูล ได้แก่
1. บัพพะตัง : ผลดีปลี : อาจระงับ อชินโรคได้ : ธาติดิน ( ปถวีธาตุ )
2. อุทา : รากช้าพลู : อาจระงับ ซึ่ง เมื่อยขบได้ : น้ำ ( อาโปธาตุ )
3. บุพพเทวา : เถาสะค้าน : อาจระงับ เสมหะ และ วาโย ได้ : ลม ( วาโยธาตุ )
4. บุพพรต : รากเจตมูลเพลิง : อาจระงับโรค อันบังเกิด แต่ ดี อันทำให้หนาว และ เย็น ได้ : ไฟ ( เตโชธาตุ )
5. มหิทธิธรรม : เหง้าขิง : อาจระงับ ตรีโทษ : ประจำทวารของร่างกาย : อากาศธาตุ
6. มุรทาธร : เป็น ผู้ประมวล ยา ทั้ง หมด ด้วยกัน : อาจ ระงับโรคอันบังเกด แก่ ( ทวัตติงสาการ ) คือ อาการ 32 ของ ร่างกาย

ยาเบญจกูล
1. ดีปลี ( ฤาษีบัพตัง / ปถวีธาตุ / อาจระงับอชินธาตุ )
2. รากช้าพลู ( ฤาษีอุทา / อาโปธาตุ / อาจระงับ ซึ่ง เมื่อยขบ ได้ )
3. เถาสะค้าน ( ฤาษีบุพเทวา / วาโยธาตุ / อาจระงับเสมหะ และ วาโย ได้ )
4. รากเจตมูลเพลิง ( ฤาษีบุพพรต / เตโชธาตุ / อาจระงับ โรคอันบังเกิด แต่ ดี อันทำให้ หนาว และ เย็น ได้ )
5. เหง้าขิง ( ฤาษีมหิทธิธรรม / อาศธาตุ ประจำ ทวารร่างกาย ( ช่องว่าง )  / ระงับตรีโทษ )
6. รวม ยา ทั้ง 5 เข้าด้วยกัน ( ฤาษีมุรธาธร / อาจระงับ โรคอันบังเกิด แก่ ทวิตติงสาการ คือ อาการ 32 ของ ร่างกาย )

บทที่ 1 เภสัชกรรม ( ประวัติแพทย์แผนไทย )


บทที่ 1 ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับ เภสัชกรรมไทย

ประวัติ การแพทย์แผนไทย เริ่มมี มาบันทึก ตั้งแต่ สมัยพุทธกาล โดยหมอ ที่ชื่อ หมอชีวก โกมารภัทร์ รักษา พระเจ้าพิมพิสาร ที่ทรงประชวร ด้วย โรคริดสีดวง หมอชีวก ท่านได้ถวายยา รักษา ด้วยการทายา เพียงครั้งเดียว พระเจ้าพิมพิสาร ก็ทรงหายจากโรค ที่เป็น

การแพทย์แผนไทย เริ่ม ตั้งแต่ สมัยพุทธการ

การแพทย์แผนโบราณ ก่อนรัตนโกสินทร์
- ในสมัย พพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีการสร้างสถานพยาบาล ที่เรียกว่า อโรคยาศาลา มีหมอ พยาบาล เภสัชกร รวม 92 คน มีพิธีบวงสรวง พระไภสัชยคุรุไวฑูรย์

พระองค์นี้ ก่อนที่ เราจะนำ อาหาร หรือ ยา ไปให้คนไข้ หมอ พยาบาล ก็จะ เอาตัวยา หรือ อาหาร มาบวงสรวงท่านก่อน จะนำ อาหาร และ ยาไปแจกจ่าย

ในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มักจะถามว่า อโรคยาศาลา สร้างในสมัยใด และ มีพิธีบวงสรวง ใคร ให้จำไว้ พระไภสัชยคุรุไวฑูรย์

- มีการพบ หินบดยา สมัยทวารวดี และ ศิลาจารึก ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในสมัย สุโขทัย ทรงสร้าง สวนสมุนไพร ขนาดใหญ่ บน เขาหลวง หรือ เขาสรรพยา ซึ่งปัจจุบัน ยังคงปรากฏอยู่ ที่ เขตจังหวัด สุโขทัย

- ในสมัย สมเด็จ พระนาราย์หาราช ได้พบ บันทึก การจัดหา ยาที่ชัดเจน สำหรับ ราษฎร มีแหล่งจำหน่าย ยา และ สมุนไพร ทั้งใน และ นอก กำแพงเมือง มีการ รวบตำรา ยา ต่างๆ ขึ้น เป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์ แพทย์แผนโบราณ เรียกว่า ตำรา โอสถพระนารายณ์ การแพทย์แผนโบราณ ในสมัยนี้รุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะ การนวด มี มิชชันนารี ชาวฝรั่งเศส เข้ามาจัดตั้ง โรงพยาบาล แต่ไม่ได้รับความนิม จึงเลิกไป
ปัจจุบัน มีการน นำ ตัวยา หลายตัว จากโอสถพระนารายณ์ มาใช้อยู่ เช่น น้ำยามหาจักร์

ในสมัย สมเด็จ พระนารายณ์ เคยมี คำถาม ออกสอบว่า ตำรา ใดที่ใช้ ในการแพทย์แผนโบราณ ก็จะมี ตำรา โอสถพระนารายณ์ ด้วย

หลังจาก ผ่านพ้น ในช่วง อยุธยา มีการสงคราม จึง ขาดช่วงการบันทึก จนเข้ามา ในสมัย รัตนโกสินทร์

- การแพทย์แผนโบราณ ในสมัย รัตนโกสินทร์
ข้อสอบ ชอบออก ชื่อ ของรัชกาล จะไม่ถาม ว่า รัชกาลที่ เท่าไหร่ แต่จะ ถาม พระนาม เราจำเป็นต้อง จำพระนาม แต่ละ องค์ ให้แม่น

รัชกาล ที่ 1 ท่านทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช
ท่าน เป็นผู้ ปฏิสังขรณ์ วัดโพธิ์ เป็น อาราม หลวง ชื่อว่า วัด พระเชตุพลวิมลมังคลาราม มีการ รวบรวม ตำรายา ฤาษีดัดตน ตำราการนวด ไว้ตามศาลาราย มีการจัดตั้ง กรมหมอ และ โรงพระโอสถ แพทย์ ที่รับราชการ เรียกว่า หมอหลวง ส่วนหมอที่รักษา ราษฎร เรียกว่า หมอราษฏร หรือ หมอเชลยศักดิ์

รัชกาลที่ 2 พระนามว่า สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
มีพระบรมราชโองการ ให้เหล่า ผู้ชำนาญโรค และ สรรคุณยา รวมทั้งผู้ที่ มีตำรายา นำเข้ามาถวาย และ ให้กรมหมอหลวง คัดเลือก ให้จด เป็นตำราหลวง สำหรับ โรงพระโอสถ ในปี พ.ศ. 2359 มีพระบรามราชโองการโปรดเกล้า ให้ตามกฏหมาย ชื่อ กฏหมายพนักงาน พระโอสถถวาย
( ให้ตรากฏหมาย ชื่อว่า กฏหมาย พนักงาน พระโอสถถวาย ) ชอบออกมาก 

รัชกาลที่ 3 พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
จัดตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ แห่งแรก คือ โรงเรียนแพทยืแผนโบราณวัดโพธิ์
ท่านให้มีการ รวบรวมตำรา ยาโบราณ นำจารึก ในผนังอุโบสถ ศาลาราย เสา และ กำแพงวิหาร คด รอบเจดีย์ ทรงให้ปั้นรูป ฤาษีดัดตนในท่าต่างๆ
ในสมัยนี้มี การนำเอา แพทย์แผนตะวันตก ชื่อ นายแพทย์แดน บีชบรัดเลย์ เจ้าของ บางกอก เลคอร์ดเดอร์ ได้นำ การ ปลูกฝี ป้องกันไข้ทรพิษ การใช้ยาเม็ด ควินิน รักษาไข้ จับสั่น หรือ มาลาเลีย นี้แหล่ะ เป็นต้น แต่ เราก็อาจจะ ใช้ต้น กาสามปีก รักษา โรค มาลาเลีย ได้เหมือน กัน
( สรุป ในรัชกาลที่ 3 มีการตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ รวมรวมตำราจารึก ปั้นฤาษีดัดตน มี หมอ บรัดเลย์เข้ามา )

รัชกาลที่ 4 พระ บาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จะไม่ค่อยมี อะไรเกี่ยวกับ แพทย์แผนไทย มีแค่ นำแพทย์ แผนตะวันตกมาใช้ มากขึ้น แสดงว่า ฝรั่งเริ่มเข้ามา มีการทำ คลอด ด้วยสูติกรรมสมัยใหม่ แต่ไม่นิยม มีการ ฝ่าตัด หน้าท้อง แต่สมัยโบราณ ก็อาจจะ ไม่นิยมมากนัก

รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว
มีการจัดตั้ง ศิริราชพยาบาล ใน พ.ศ. 2431 มี การเรียนการสอนแพทย์แผนโบราณ และ แผนตะวันตก ร่วมกัน แต่ เป็นไป ด้วยความลำบาก มี การขัดแย้ง ระหว่าง ผู้สอน และ ผู้เรียน เป็นอย่างมาก 

และที่สำคัญที่สุดใน รัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ ตำราแพทย์ สำหรับใช้ ในโรงเรียน แพททย์ เป็นครั้งแรก ใน ปี พ.ศ. 2438 โดย พระยาพิษณุ ชื่อ ตำรา แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ได้รับการ ยกย่องให้ เป็นตำรา แห่งชาติ ฉบับแรก

ตำราแห่งชาติ ฉบับแรก คือ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ โดย พระยาพิษณุ

ต่อมา พระยาพิษณุปราสาทเวช คนเดิม  เห็นว่า ตำรา เหล่านี้ ยกแก่ผู้ศึกษา จึงได้ พิมพ์ตำราขึ้นใหม่ ได้แก่ ตำราแพทย์ศาสตร์ฉบับหลวง 2 เล่ม และ ตำราแพทย์ศาสตร์สังเขป 3 เล่ม เป็นตำราที่ แพทย์แผนไทย ใช้เป็น หลัก จนถึง ปัจจุบัน 

ตำราใหม่ ที่เกิดขึ้น คือ ตำราแพทย์ศาสตร์ ฉบับหลวง 2 เล่ม และ ตำราแพทย์ศาสตร์ สังเขป 3 เล่ม

รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีการสั่งยกเลิกแพทย์แผนโบราณ
ใน รัชกาลที่ 6 เป็น สมัยที่ การแพทย์แผนไทย ความรู้ต่างๆได้หายไป เกือบหมด เพราะมีการ ประกาศใช้ พระราชบัญญาติ การแพทย์ ในปี  2466 ควบคุม การประกอบโรคศิลปะ เพื่อ ป้องกัน การเกิดอันตราย ต่อประชาชน
เนื่องจาก หมอ เมื่อก่อน ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ก็ กลัวความผิด บ้าง ก็ เอาตำรา ไปถวายวัด หรือ พอตายไป ก็เผาตำรา ไปด้วยเลย ก็มี ในการแพทย์แผนไทย เรา ก็จะ สูญหายไปใน รัชกาลที่ 6

สรุป ยกเลิก แพทย์แผนโบราณ และ มี พระราชบัญญัติการแพทย์ ปี 2466

รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว
มีการ ตรากฏหมายเสนาบดี แบ่งการประกอบโรคศิลปะ ออกเป็น 2 ประเภท โดย กำหนดไว้ ดังนี้
1. การแพทย์แผนปัจจุบัน คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยความรู้ จากตำรา อันเป็นหลักวิชา โดยสากลนิยม ซึ่งดำเนิน และ จำเริญขึ้น โดย อาศัย การศึกษา ตรวจค้น และ ทดลองของ ผู้รู้ ในวิทยาศาสตร์ ทั่วโลก
2. แผนโบราณ คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยอาศัย ความสังเกตุ ความชำนาญ อันได้สืบต่อ กันมา เป็นที่ตั้ง หรือ อาศัยตำราอันมีมา แต่โบราณ  มิได้ดำเนินไปทาง วิทยาศาสตร์ 

สองอันนี้ต่ากัน ตรง แผนปัจจุบัน คือ วิทยาศาสตร์ แต่ แผนโบราณ คือ สืบต่อกันมา

สรุป รัชกาล ที่ 7 ใช้ กฏหมายเสนาบดี แบ่ง เป็น แผนปัจจุบัน แผนโบราณ

รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าหัว ภูมิพล อดุลย์เดช
มีการก่อตั้งสมาคม ของ โรงเรียน แพทย์แแผนโบราณ ที่ วัดโพธิ์ ในปี 2500
และ ในปี 2525 ได้ก่อตั้ง โรงเรียน อายุรเวทวิทยาลัย ( ชีวกโกมารภัจจ์ ) ให้การอบรม ด้านการแพทย์แผนโบราณไทย ประยุกต์ จน มาถึง ทุกวันนี้

                        จรรยาเภสัช 5 ประการ
1. ต้องมีความขยัน หมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน
2. ต้องพิจารณา หาเหตุผล ในการ ปฏิบัติงาน ด้วยความ สะอาด ประณีต ไม่ประมาท ไม่มักง่าย
3. ต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต มีเมตตาจิต แก่ ผู้ใช้ยา ไม่โลภเห็นแก่ ลาภ
4. ต้องมีความละอายต่อบาป ( หิริโอตัปปะ ) ไม่กล่าวเท็จ หรือ กล่าวโอ้อวด
5. ต้องปรึกษาผู้ชำนาญ ไม่ปิบังความ เขลา ของ ตน

                        หลัก เภสัช 4
หมายความว่า เรา จะเป็น เภสัชได้ เราจะต้อง รู้ อะไรบ้าง

1. เภสัชวัตถุ คือ
รู้จักวัตถุธาตุ นานา ชนิด ที่จะนำมาใช้ เป็นยารักษาโรค และต้องรู้ ลักษณะ พื้นฐานของตัวยาสมุนไพร แต่ละชนิด คือ รู้จัก ชื่อ ลักษณะ สี กลิ่น และ สี

2. สรรพคุณเภสัช คือ
รู้จัก สรรพคุณ ของวัตถุ ที่ จะนำมาใช้เป็น ยา จะต้องรู้ รส ของตัวยา จึงจะ สามารถ รู้ สรรพคุณ ได้ในภายหลัง 

3. คณาเภสัช คือ
รู้จักการจัดหมวดหมู่ ตัวยา หลายสิ่ง หลายอย่าง รวมเรียกชื่อ เดียวกัน
คณา ก็คือ คณะ คือ จับ ตัวยา หลายอย่าง มารวมกัน เรียกเป็น ชื่อเดียว

4. เภสัชกรรม คือ
รู้จัก การปรุงยา ผสมเครื่องยา หรือ ตัวยา ตามที่กำหนด ใน ตำรับยา หรือ ตามในใบสั่งยา

สรุป หลักเภสัช 4 มี เภสัชวัตถุ / สรรพคุณยา / คณาเภสัช / เภสัชกรรม

                             ประวัติยาเบญจกูล

ใน วิชาเภสัชกรรม เรา จะ เชิดชู ยาเบญจกูล มาก เป็นตัวยาที่ใช้ ประจำ ธาตุ 4 ในร่างกายเรา ประกอบไป ด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ

แก้ใน กอง สมุฎฐาน ต่างๆ

ฤาษี 6 ต กับตัวยา เบญจกูล ได้แก่
1. บัพพะตัง : ผลดีปลี : อาจระงับ อชินโรคได้ : ธาติดิน ( ปถวีธาตุ )
2. อุทา : รากช้าพลู : อาจระงับ ซึ่ง เมื่อยขบได้ : น้ำ ( อาโปธาตุ )
3. บุพพเทวา : เถาสะค้าน : อาจระงับ เสมหะ และ วาโย ได้ : ลม ( วาโยธาตุ )
4. บุพพรต : รากเจตมูลเพลิง : อาจระงับโรค อันบังเกิด แต่ ดี อันทำให้หนาว และ เย็น ได้ : ไฟ ( เตโชธาตุ )
5. มหิทธิธรรม : เหง้าขิง : อาจระงับ ตรีโทษ : ประจำทวารของร่างกาย : อากาศธาตุ
6. มุรทาธร : เป็น ผู้ประมวล ยา ทั้ง หมด ด้วยกัน : อาจ ระงับโรคอันบังเกด แก่ ( ทวัตติงสาการ ) คือ อาการ 32 ของ ร่างกาย

ยาเบญจกูล
1. ดีปลี ( ฤาษีบัพตัง / ปถวีธาตุ / อาจระงับอชินธาตุ )
2. รากช้าพลู ( ฤาษีอุทา / อาโปธาตุ / อาจระงับ ซึ่ง เมื่อยขบ ได้ )
3. เถาสะค้าน ( ฤาษีบุพเทวา / วาโยธาตุ / อาจระงับเสมหะ และ วาโย ได้ )
4. รากเจตมูลเพลิง ( ฤาษีบุพพรต / เตโชธาตุ / อาจระงับ โรคอันบังเกิด แต่ ดี อันทำให้ หนาว และ เย็น ได้ )
5. เหง้าขิง ( ฤาษีมหิทธิธรรม / อาศธาตุ ประจำ ทวารร่างกาย ( ช่องว่าง )  / ระงับตรีโทษ )
6. รวม ยา ทั้ง 5 เข้าด้วยกัน ( ฤาษีมุรธาธร / อาจระงับ โรคอันบังเกิด แก่ ทวิตติงสาการ คือ อาการ 32 ของ ร่างกาย )

คัมภีร์โรคนิทาน

พระคัมภีร์โรคนิทาน ( อ.ประสิทธิ คงทรัพย์ ) ในพระคัมภี์ พระบรมอรรคธรรม = ความสิ้นอายุ = ธาตุจะขาด หย่อน พิการ หรือ ขาดหายไป แจ้งอยู่ใน ( คั...